-'พนมรุ้ง' ขุดเจอขุมทรัพย์ข้าวถุง ฟู้ดเซอร์วิส -ศึกยาสีฟันมันสุด ใครก็ว่าเป็นผู้นำตลาดแต่อยู่คนละสูตร -เส้นหมี่อบแห้งไร้แววแบรนด์ใหญ่ เจอ 'ไวไว' ฮุบซะ จะมัวเป็นผู้ตามอยู่ทำไม เมื่อบรรดาแบรนด์เบอร์ 2 เบอร์ 3 ของตลาดยังมีโอกาสพลิกแพลงสถานการณ์ ดันตัวเองไปอยู่ตำแหน่งผู้นำ หากสามารถค้นเจอเค้กก้อนใหม่ แม้จะเล็กกว่า แคบกว่า แต่ยังภูมิใจได้ว่า สินค้าแบรนด์นั้นคือเจ้าตลาด ข้าวพนมรุ้ง ขอเป็นหนึ่ง ในฟู้ดเซอร์วิส เสน่ห์ของตลาดข้าวถุงอยู่ตรงที่เป็นตลาดใหญ่ บางคนบอกว่ามีมูลค่าถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี แถมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นตลอด จะไม่เพิ่มขึ้นได้อย่างไรในเมื่อคนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก มิหนำซ้ำจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นทุกปี ด้วยเหตุนี้ตลาดข้าวถุงจึงหอมหวนชวนให้ใครต่อใครกระโดดเข้ามาเล่นกันอย่างคึกคัก แต่ละปีคนไทยบริโภคข้าวร่วม 11 ล้านตัน จำนวนนี้แบ่งเป็นการขายผ่านช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด 8 แสนตัน อีก 10.2 ล้านตัน ขายผ่านช่องทางเทรดดิชันนัลเทรด หรือช่องทางดั้งเดิม เช่น ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว โชวห่วย ที่มีอยู่นับหมื่นรายทั่วประเทศ ในแต่ละช่องทางล้วนมีแบรนด์ข้าวถุงเข้าไปร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 20-30 แบรนด์ ทำให้เกมการแข่งขันจึงมุ่งไปที่การใช้ราคาห้ำหั่นกัน ยกเว้นตลาดระดับพรีเมียมที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์อยู่ แต่ในตลาดระดับกลางลงมานั้นกลายเป็น 'น่านน้ำสีเลือด' ไปเรียบร้อยแล้ว ทว่า ท่ามกลางสมรภูมิอันแดงฉานนั้นกลับมีช่องว่างสีฟ้าอันสดใสให้กับแบรนด์บางแบรนด์ที่มองเห็นเข้าไปสร้างตลาด เข้าไปปักธงผู้นำ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการแข่งขันเรื่องราคาอีกต่อไป ข้าวพนมรุ้ง คือแบรนด์ที่กำลังจะกล่าวถึง เรื่องของเรื่องก็คือ ด้วยความที่ตลาดแบบเทรดดิชันนัลเทรดนั้นใหญ่โต จึงมีเซกเมนต์แตกแยกย่อยออกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือช่องทางที่เรียกว่าฟู้ดเซอร์วิส ประกอบด้วย โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และยังหมายรวมไปถึงบรรดาร้านข้าวแกงข้างทาง ร้านอาหารรถเข็นด้วย จริงแล้วตลาดฟู้ดเซอร์วิส ไม่ใช่เป็นตลาดใหม่ เพียงแต่เป็นตลาดที่ไม่มีใครเข้าไปลุยอย่างจริงจังเท่านั้น ทำให้ไม่มีแบรนด์ใดครองส่วนแบ่งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เป็นช่องว่างของข้าวพนมรุ้ง แบรนด์ใหม่ที่จะขอแจ้งเกิดในตลาดข้าวด้วยคน 'วันที่เราก้าวเดินเข้าไปตรงนี้เรามองว่าตลาดข้าวถุงผู้เล่นเยอะ ขณะที่ตลาดเล็ก เรียกว่าเป็นเรดโอเชี่ยน การแข่งขันตาต่อตา ฟันต่อฟัน กดราคากัน ตัดราคากันในห้าง และในห้างบ้านเราก็มีอยู่ 4 ห้างหลักที่ขายข้าวมากจริงๆ คือ แม็คโคร เทสโก้ บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ที่เหลืออย่าง กูร์เม่ต์ มาร์เก็ต หรือท็อปส์ แม้จะเป็นโมเดิร์นเทรด แต่คอนทริบิวชั่นอยู่ใน 4 ห้างนั้นเป็นหลัก ปรากฏว่าทุกคนยำอยู่ในนั้น ผมเลยมองว่าตลาดเทรดดิชันนัลเทรดน่าทำกว่า เนื่องจากใหญ่กว่า และมันซอยจนแต่ละแบรนด์ไม่ได้เป็นลีดเดอร์อย่างชัดเจน ทุกคนได้แค่ส่วนเล็กๆ ของตลาดเต็มไปหมด โดยเฉพาะที่เราเจาะลึกลงไปอย่างฟู้ดเซอร์วิส โรงแรม ร้านอาหาร ยิ่งไม่มีรายใหญ่อยู่ในตลาดเลย ทุกคนเป็นแบรนด์ของยี่ปั๊ว ซาปั๊ว เป็นแบรนด์ของโรงสีต่างจังหวัดย่านนั้น ย่านนี้ สมมติว่าย่านสีลมซื้อแบรนด์นี้ จตุจักรก็อีกแบรนด์นึง แล้วในจตุจักรก็จะซอยย่อยลงไปอีก ไม่มีใครเป็นผู้นำที่ชัดเจน ไม่เหมือนในห้างที่คนจะรู้จักมาบุญครอง หรือหงษ์ทอง' เป็นคำกล่าวของ วิพุธ หวั่งหลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารงานขายและการตลาด บริษัท ชัยทิพย์ จำกัด เมื่อตลาดฟู้ดเซอร์วิส ยังเป็นน่านน้ำสีฟ้าที่น่าเข้าไปว่ายเล่น ทำให้ข้าวพนมรุ้งรีบกระโจนเข้าไป เพราะเมื่อเทียบกับศักยภาพของบริษัทกับแบรนด์อื่นๆ ที่อยู่ในตลาด พนมรุ้งอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็น กำลังเงิน เทคโนโลยีการผลิต โนว์ฮาวการตลาด รวมถึงกำลังการผลิตที่บริษัทเป็นบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งขยายกำลังการผลิตจาก 2 หมื่นตันต่อปี มาเป็น 2 แสนตันต่อปี ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งหลายขุม เพียงแค่กระโดดลงตลาดเท่านั้น พนมรุ้งก็แทบจะกลายเป็นเจ้าตลาดทันที ก่อนเข้าตลาด ทีมผู้บริหารของข้าวพนมรุ้งได้ทำวิจัยเพื่อสำรวจความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนี้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการที่สุด คำตอบที่ได้อย่างแรกคือ คุณภาพคงที่ สม่ำเสมอ รองลงมาคือ ข้าวต้องนิ่ม ขาว ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน ซึ่งความต้องการรองๆ ลงมานี้ ข้าวทุกแบรนด์ ทุกเจ้าต่างตอบสนองเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ขณะที่เรื่องของการทำคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรให้คงที่ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้บริษัทจึงทำวิจัยว่าจะใช้ส่วนผสมอย่างไรถึงจะทำให้ข้าวที่ออกมามีความคงที่ นอกจากคิดสูตรส่วนผสมของข้าวแล้ว ยังได้ซื้อเครื่องเท็กซ์เจอร์ อะนาไลเซอร์ เพื่อใช้ตรวจสอบความนุ่ม และวัดความนุ่มของข้าวออกมาเป็นตัวเลข โดยจะมีการคำนวณสูตรของข้าวทุกครั้งที่มีการผลิตเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างข้าวเก่ากับข้าวใหม่ให้มีความนุ่มคงที่ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าเดียวที่ผลิตข้าวขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแบบนี้แบบเทเลอร์เมด เหตุผลที่ความนุ่มคงที่ของข้าวเป็นความต้องการหลักในตลาดฟู้ดเซอร์วิสเป็นเพราะพฤติกรรมการหุงข้าวของโรงแรม ร้านอาหาร หรือภัตตาคารใหญ่มักจะทำคราวละมากๆ บางแห่งหุงครั้งละ 10-20 หม้อ ถ้าคุณภาพไม่เท่ากัน ไม่คงที่ อาจทำให้ข้าวหม้อนี้แฉะ หม้อนี้แข็ง ก็อาจต้องเทข้าวทิ้งทุกหม้อ ต่างจากพฤติกรรมการหุงของแม่บ้านที่จะปรับไปตามสภาพ เช่นถ้าหม้อแรกแฉะ หุงหม้อต่อไปจะใช้น้ำน้อยลง หลังจากปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามที่กลุ่มเป้าหมายต้องการแล้ว กลยุทธ์ต่อมาก็คือการทำโฆษณาเพื่อสร้างแบรนด์อะแวร์เนส โดยพุ่งเป้าสร้างการรับรู้ไปยังคนในวงการผ่านการจัดกิจกรรม เช่น เนชั่นแนล เรสทัวรองต์ แอนด์ บาร์, อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ด แอนด์ โฮเต็ล ไทยแลนด์ หรือมุ่งเน้นโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น ไทยแลนด์ เรสทัวรองต์ นิวส์ และวารสารสมาคมพ่อครัวไทย เป็นต้น เนื่องจากพฤติกรรมของเชฟ ซึ่งปราการด่านสุดท้ายที่ตัดสินใจเลือกซื้อข้าวจะดูโทรทัศน์ค่อนข้างน้อย ด้วยเวลาการทำงานจะเริ่มตั้งแต่ 05.00 น. หรือ 06.00 น. เพื่อเตรียมอาหาร จากนั้นเวลา 12.00 น. ต้องเตรียมอาหารเที่ยงต่อ พอถึง 14.00 น. เป็นเวลาเข้านอน ด้วยความที่ตลาดฟู้ดเซอร์วิส หรือตลาด HORECA (Hotel, Restaurant, Catering) เป็นตลาดระดับพรีเมียมที่ไม่ค่อยกังวลเรื่องราคาสินค้ามากนัก ทำให้ข้าวพนมรุ้งแม้จะมีราคาจำหน่ายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์อื่น เช่น ข้าวหอมมะลิ 50 กิโล ราคา 1,800 บาท ขณะที่แบรนด์อื่นอยู่ที่ 1,600-1,700 บาท แต่งานนี้ไม่ได้ทำให้ข้าวพนมรุ้งต้องลดราคาลงมาต่อสู้แต่อย่างใด เพราะสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ถือว่าเป็นคอนซูเมอร์ อินไซต์ ในเซกเมนต์นี้คือ เรื่องของการบริการที่ต้องเข้าข่ายใจถึง พึ่งได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องทำให้ข้าวพนมรุ้งต้องมีทีมขนส่งกว่า 20 คน ทีมเซลเซอร์วิส อีก 10 คน พร้อมตั้งศูนย์กระจายสินค้าขึ้นมาที่กรุงเทพฯ เพื่อรับสินค้าจากโรงงานที่สระบุรีมากระจายต่อ 'ตอนทำตลาดแรกๆ นอกจากสินค้าของเราจะคงที่แล้ว สิ่งสำคัญอันดับสองคือเซอร์วิสต้องถึง ไม่ใช่เอาของไปวาง แต่ต้องบริหารสต๊อกให้เขาด้วย อีกทั้งเราต้องมีบริการหลังการขาย สั่ง 5 ถุง 10 ถุงก็ต้องส่ง แล้วบางทีจะเอาเดี๋ยวนี้ สั่งเช้าจะเอาเย็น ถ้าไม่ส่ง บริการไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถทำตลาดนี้ได้เหมือนกัน เพราะของเขาต้องขาย สมมติว่าของหมดเดี๋ยวนั้นเลย เย็นนี้ลูกค้าเข้า ดังนั้นเราต้องส่ง ความจุกจิกของการบริการในตลาดนี้มันมีสูงมาก' วิพุธ อธิบายให้ฟัง ว่าเหตุใดจึงไม่มีบรรดาแบรนด์ใหญ่ขยับเข้ามาขอเอี่ยวในตลาดนี้บ้าง ภายหลังจากการสอดส่ายหาตลาดที่ง่ายต่อการแข่งขัน และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่นได้ ทำให้ในเวลาเพียงปีแรกหลังจากเข้าตลาด ข้าวพนมรุ้งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เพียงแค่ 3-4 ปี มีลูกค้าเพิ่มเป็น 2 พันราย ภายหลังจากประสบความสำเร็จจนกลายเป็นแบรนด์ลีดเดอร์ในตลาดฟู้ดเซอร์วิส ชนิดไร้คู่ต่อกรแล้ว ข้าวพนมรุ้งกำลังขยายเข้ามาเล่นในตลาดแมส เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับแบรนด์อีกครั้ง และการรุกตลาดคราวนี้ได้อาศัยต้นทุนจากการประสบความสำเร็จในตลาดฟู้ดเซอร์วิส มาให้การรับรอง หรือ endorse ว่าข้าวพนมรุ้งเป็นแบรนด์ที่เชฟจากโรงแรม ร้านอาหารเลือกใช้ เชื่อว่าจาก emotional benefit ของข้าวพนมรุ้งที่ส่งออกไปคราวนี้น่าจะโดนใจบรรดากลุ่มแม่บ้าน และสร้างยอดขายได้ไม่ยากเย็นนัก ยาสีฟัน 6,000 ลบ. แบ่งเค้กปักธงเบอร์ 1 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคและนักการตลาดทั้งหลายมักจะคุ้นชินกับเกมรบออรัลแคร์ ซึ่งมี 'คอลเกต' เป็นผู้นำตลาด ทั้งนี้ หากแยกย่อยตามประเภทสินค้า ประกอบด้วย ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งถือเป็น 3 หมวดหลักในตลาดออรัลแคร์ จะเห็นว่า วันนี้ 'ตลาดน้ำยาบ้วนปาก' เป็นสินค้าเพียงกลุ่มเดียวที่ คอลเกต ยังไม่สามารถปักธงแชมป์ ทว่า จากการเปิดเกมรุกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาอย่างเข้มข้นและหนักหน่วง จนสามารถเขี่ย 'มายบาซิน' กับ 'ซิสเท็มมา' ขึ้นมานั่งเก้าอี้รองแชมป์ด้วยแชร์ราว 16% จากตลาดน้ำยาบ้วนปากมูลค่า 1,400 ล้านบาท นับว่าเป็นแรงกดดันที่สร้างความเครียดให้กับ 'ลิสเตอรีน' และผู้เล่นทุกรายในสมรภูมิออรัลแคร์ไม่น้อย คงไม่ผิดที่บอกว่าการพยายามจะปักธงให้ครบทั้ง 3 หมวดหลักออรัลแคร์ของคอลเกตได้สร้างแรงกดดันให้กับผู้เล่นทุกราย เพราะนั่นหมายถึง คอลเกตจะสามารถประกาศความเป็นผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพในช่องปากได้เต็มปากเต็มคำ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ในชั่วโมงนี้ น้ำยาบ้วนปากกลายเป็น 1 ในเกมรบที่กำลังร้อนทะลักทั่วปาก ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในมุมยาสีฟัน และแปรงสีฟัน ใช่ว่าจะปล่อยให้แชมป์อย่างคอลเกตโกยยอดขายไปง่ายๆ เพียงเจ้าเดียว หากสังเกตจะเห็นว่า บรรดาคู่แข่งทั้งหลายต่างหันมาจำกัดวงพื้นที่ยืนของตนเองให้ชัดเจน พร้อมกับปักธงเป็นเบอร์ 1 หรือเจ้าของดินแดนนั้นด้วย และไม่เพียงแต่จะสื่อถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณสมบัติต่างๆ เท่านั้น แต่กลวิธีนี้อาจช่วยป้องกันการรุกของคอลเกตได้ไม่น้อย เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคที่เรียกว่ามีความฉาดและรู้จักเลือกสินค้ามากขึ้น จนผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาโปรดักส์ของตนเองให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วนมากที่สุด ส่งผลให้สินค้าหลายประเภทจึงมีการแยกย่อยออกเป็นเซกเมนต์ และบางครั้งก็ละเอียดไปสู่ระดับแฟลกเมนต์ด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณากันที่ตลาดออรัลแคร์ 'ยาสีฟัน' ถือเป็นสมรภูมิที่มีภาพการแข่งขันในลักษณะการสร้างภาพผู้นำในพื้นที่ที่เป็นเซกเมนต์ของตนเองมากและชัดเจนสุด จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ตลาดยาสีฟัน 6,000 ล้านบาท จึงมีการแยกย่อยตามคุณสมบัติออกเป็น 8 เซกเมนต์ ประกอบด้วย กลุ่มสมุนไพร 27.5% กลุ่มเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น 26% กลุ่มครอบครัว 19% กลุ่มมัลติเบเนฟิต 7.5% กลุ่มลดอาการเสียวฟัน 7.5% กลุ่มไวท์เทนนิ่ง 5% กลุ่มเด็ก 3% และอื่นๆ 3.5% 'ตอนนี้ตลาดยาสีฟันมีการแยกย่อยมากถึง 8 เซกเมนต์ จากเดิมที่มีเพียง 5 เซกเมนต์เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์แบบตรงจุดมากขึ้น ทำให้เจ้าของสินค้าต้องแตกไลน์และลอนช์สินค้าที่มีคุณสมบัติต่างๆ มากขึ้นด้วย' ทวีศักดิ์ เมฆสว่าง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดแบรนด์ดอกบัวคู่ อธิบายกับผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดยาสีฟันจะมีการซอยย่อยมากถึง 8 เซกเมนต์ แต่จะเห็นว่ากลุ่มยาสีฟันที่ยังเป็นเซกเมนต์หลักและมีสัดส่วนเป็นตัวเลข 2 หลัก มีเพียง 3 เซกเมนต์ คือ กลุ่มสมุนไพร กลุ่มเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น และกลุ่มครอบครัว ดังนั้นจึงเป็นเซกเมนต์ที่มีการแข่งขันรุนแรงสุดเมื่อเทียบกับเซกเมนต์อื่น เพราะแม้แต่เซกเมนต์เล็กๆ คอลเกตก็ยังให้ความสนใจไม่น้อย เช่น การส่งสูตร 'เซนซิทีฟ โปรรีลีฟ' เข้าไปชนคู่แข่งตัวหลัก เช่น 'เซ็นโซดายส์' และ 'ซอลส์' ในเซกเมนต์ลดอาการเสียวฟัน จึงไม่ต้องสงสัยว่าการแข่งขันใน 3 เซกเมนต์หลัก คอลเกตจะเปิดเกมรุกดุเดือดแค่ไหน สำหรับยาสีฟันทั้ง 3 เซกเมนต์นี้ จะเห็นว่า ล้วนมีผู้จับจองเป็นเจ้าของดินแดนและประกาศเป็นเบอร์ 1 ในพื้นที่อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ เซกเมนต์กลุ่มสมุนไพร ที่มี 'ดอกบัวคู่' ตอกเสาเข็มตำแหน่งผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งกว่า 50% เซกเมนต์ลมหายใจหอมสดชื่น ก็มี 'ดาร์ลี่' ปักหลักนั่งเก้าอี้แชมป์อย่างเหนียวแน่นด้วยตัวเลขกว่า 50% ขณะที่ 'คอลเกต'คือผู้นำในยาสีฟันกลุ่มครอบครัวด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 50% เช่นกัน การขับเคี่ยวระหว่าง 3 เซกเมนต์นี้ ความต้องการของคอลเกตจึงไม่ได้หยุดที่การเป็นเพียงผู้นำภาพรวมตลาดยาสีฟัน แต่ยังหมายมั่นจะเป็นเบอร์ 1 ในทุกเซกเมนต์ด้วย เห็นได้จากการที่คอลเกตส่งสูตร 'คอลเกต เกลือ สมุนไพร' ที่ชูประสิทธิภาพครบสูตรการปกป้องจากธรรมชาติในหลอดเดียว โดยชูส่วนผสมจากธรรมชาติ 3 ชนิดเป็นจุดขายมาชนกับเจ้าถิ่นอย่างดอกบัวคู่ และแน่นอนว่าด้วยเม็ดเงินมหาศาลกอปรกับการรุกเข้มในทุกกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านสื่อทุกช่องทาง การจัดกิจกรรม การจัดโปรโมชั่น ณ จุดขาย ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนให้กับบัลลังก์ดอกบัวคู่ไม่น้อย โดยดูจากส่วนแบ่งตลาดของดอกบัวคู่ที่เคยมีกว่า 70% แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50% เท่านั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นแรงกระแทกจากผู้เล่นรายอื่น รวมไปถึงการตลาดที่มีการแยกย่อยเซกเมนต์มากขึ้นก็ตาม แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนแบ่งตลาดที่หดหายไปก็มาจากการเข้ามาของคอลเกตด้วย ดังนั้น เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ไปมากกว่านี้ และตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในเซกเมนต์สมุนไพรอย่างแข็งแกร่ง ปีนี้ดอกบัวคู่จึงเปิดเกมบุกต่อจากปีก่อน ในรูปแบบที่เรียกว่า Aggressive กว่าทุกครั้ง ด้วยการตีโต้คู่แข่งแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน โดยเครื่องมือที่ถือได้ว่าเป็นระเบิดลูกย่อมที่ดอกบัวคู่ปาใส่คู่แข่งครั้งนี้ คือ การนำผลวิจัยจากบริษัท IBS มาช่วยใช้เอนดอร์สแบรนด์ว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพร 100% ที่ให้คุณสมบัติการต่อต้านแบคทีเรียในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่เป็นไฮไลต์สำคัญ น่าจะอยู่ตรงที่ดอกบัวคู่ยังนำเจ้าผลวิจัยดังกล่าวออกมาใช้บลัฟฟ์คู่แข่ง ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง 'คอลเกต' ผ่าน message 'ใช้สารเคมีทำไม สมุนไพรก็ทำได้' โดยมีพรีเซนเตอร์ ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับหน้าที่เป็นผู้ส่งสารผ่านหนังโฆษณาชุด 'บอกต่อ ภาค 2 พร้อมจัดกิจกรรมโรดโชว์ 'Anti Bac Herbs Let'go' สร้างการรับรู้และแจกสินค้าตัวอย่างมากกว่า 5 แสนชิ้นทั่วประเทศ ขณะที่เจ้าถิ่นอย่าง 'ดาร์ลี่' ในฝั่งยาสีฟันเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น ก็เปิดเกมรุกขวางทางคอลเกตที่ส่งสูตร 'แอดวานส์ เฟรช' ซึ่งเป็นยาสีฟันในตระกูลคอลเกต โททอล ที่ชูจุดขายช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียยาวนาน 12 ชม. พร้อมให้ลมหายใจหอมสดชื่น เข้ามาบุกเซกเมนต์นี้โดยเฉพาะ แม้ที่ผ่านมายาสีฟันของคอลเกตในแต่ละสูตรจะมีคุณสมบัติเรื่องลมหายใจหอมสดชื่นก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดขายรองเท่านั้น ดังนั้นในปีนี้ ดาร์ลี่จึงเปิดเกมโต้กลับด้วยการทุ่มงบ 270 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดใน 2 ปี เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้เห็นถึงความทันสมัยของแบรนด์ รวมไปถึงการตอกย้ำเรื่อง '2 พลังมินต์' คือ เปปเปอร์มินต์ และสเปียร์มินต์ ส่วนผสมหลักของดาร์ลี่ สูตรดับเบิ้ล แอ็คชั่น ที่มีสโลแกน 'ลมหายใจหอมสดชื่นยาวนาน' ซึ่งเป็นสูตรที่ทำรายได้หลัก 60% จากดาร์ลี่ทั้งหมด 5 สูตร เจาะลูกค้าผู้หญิงอายุ 25-45 ปี ซึ่งการทุ่มงบมหาศาลครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคที่รับรู้ว่าแบรนด์ดาร์ลี่คือ ยาสีฟันที่ให้ความเย็นและลมหายใจหอมสดชื่น มีเพิ่มขึ้น 20% นับจากการลอนช์หนังโฆษณาชุดที่ 2 ส่วนยอดขายของสูตรดับเลิ้ล แอ็คชั่นก็เพิ่มขึ้นอีก 10% ด้วย นอกจากนี้ก็ยังสร้างความใกล้ชิดและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้วยการผุดแคมเปญ 'โชค 2 ชั้น ดาร์ลี่ 2 พลังมินต์' แจกรางวัลเป็นใบมินต์ทองคำและบัตรกำนัลจากบิ๊กซีรวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท แน่นอนว่าเป้าหมายของแคมเปญนี้ยังต้องการเชื่อมไปยังจุดขาย 2 พลังมินต์จากสูตรดับเบิ้ล แอ็คชั่นด้วย ซึ่งดาร์ลี่มั่นใจว่าการรุกครั้งนี้จะช่วยขยับส่วนแบ่งเพิ่มอีก 4-5% ในเซกเมนต์เพื่อลมหายใจหอมสดชื่นได้ภายในปีหน้า ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับอัตราการบริโภคของตลาดยาสีฟันที่เต็ม 100% และนี่คือความเคลื่อนไหวในตลาดยาสีฟัน ที่ผู้เล่นต่างหาพื้นที่และชูภาพความเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเซกเมนต์ เพราะแม้จะไม่สามารถยืนชนกับผู้นำคอลเกต หรือชิงตำแหน่งแชมป์ตลาดยาสีฟันมาครองได้ก็ตาม ทว่า ผู้เล่นเหล่านั้นก็ยินดีที่จะสร้างโพซิชันนิ่งของแบรนด์ให้ชัดเจนและแข็งแกร่ง เพื่อประกาศเป็นเบอร์ 1 ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งย่อมฟังรื่นหูกว่าการเป็นเบอร์ 2 หรือที่ 3 ในตลาดยาสีฟันเท่านั้น เป็นผู้นำตลาดบะหมี่หมื่นล้านไม่ได้ ไวไว ขอยึดตลาดเส้นหมี่พันล้านแทน ชื่อของไวไวในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม้จะเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า แบรนด์นี้ไม่ใช่ผู้นำของตลาด ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่มีมูลค่าราว 11,000 ล้านบาท เกิดจาก 3 แบรนด์ใหญ่ ที่นำเทคโนโลยีการผลิตมาจาก 3 ประเทศ ไวไว เป็นบริษัทไทยแท้, ยำยำ จากประเทศญี่ปุ่น และมาม่า ที่ใช้เทคโนโลยีไต้หวัน ทั้งหมดเปิดตัวในปีเดียวกัน คือ พ.ศ.2515 แต่แบรนด์ที่ดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุด กลายเป็นมาม่า ของค่ายไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์ ที่นอกจากมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด กว่า 52% แล้ว ชื่อมาม่า ถูกเรียกขานกลายเป็น Generic Name ที่ใช้แทนการพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนั้น ยอดขายของมาม่ายังถูกใช้เป็นมาตราวัดอ้างอิงดัชนีของเงินในกระเป๋าผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา ความสำเร็จของมาม่า เกิดจากการมีบริษัทยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์โปรดักส์ สหพัฒนพิบูล ยืนแบ็กอัพอยู่ งบประมาณในการส่งเสริมการตลาดถูกใช้สร้างแบรนด์และกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง งบการตลาดถูกใช้ปีละ 400-500 ล้านบาท กระจายไปทั้งการใช้สื่ออะโบฟเดอะไลน์ หนังโฆษณา และบีโลว์เดอะไลน์ การจัดกิจกรรมโปรโมชั่นสร้างยอดขาย โดยแคมเปญที่โดดเด่นจนผู้คนจดจำได้คือ การแจกทอง ที่มาม่าจัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคม การประกวดดนตรี นอกจากนั้น มาม่ายังถือเป็นผู้นำในการนำรสชาติใหม่ๆ มานำเสนอ สร้างภาพพจน์ความเป็นผู้นำในตลาดที่ทิ้งห่างจากผู้ตามพอสมควร ขณะที่ไวไว แม้ย้อนเวลากลับไปในปี 2515 จะเป็นแบรนด์ที่วางตลาดก่อนมาม่า แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำได้ก็คือ การเป็นแบรนด์ไทยที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างมั่นคงมาเกือบ 4 ทศวรรษ ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 30% เป็นอันดับ 2 รองจากมาม่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ไวไวไม่สามารถขยับส่วนแบ่งตลาดเข้าเบียดใกล้มาม่าได้ ก็คงเป็นเรื่องของเม็ดเงินที่นำมาส่งเสริมการตลาด ขณะที่มาม่า มีงบก้อนโตในหลัก 400-500 ล้านบาท แต่ไวไว ใช้หนักที่สุดก็อยู่เพียงแค่ 100-200 ล้านบาท แม้ในช่วงหลายปีมานี้ ดูเหมือนว่าไวไวจะมุ่งมั่นในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากเป็นพิเศษ ทั้งการเพิ่มรสชาติแปลกใหม่ มีหนังโฆษณาออกมาอย่างต่อเนื่อง ใช้พรีเซนเตอร์ชื่อดังในหนังโฆษณา รวมไปถึงการจัดกิจกรรมที่ไม่น้อยหน้ามาม่า สิ่งที่ได้มาคือการขยับส่วนแบ่งจากหลัก 20 ขึ้นมาเป็น 30% ส่วนการจะหวังให้ก้าวต่อไปแซงหน้ามาม่าให้ได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องที่คิดกันในปีนี้ ปีหน้า หรืออาจจะตลอดไปก็ได้ แต่แม้จะไม่สามารถก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไวไวจะเป็นผู้ตามเสมอไป เพราะในตลาดเส้นก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูป ยังมีอีกหนึ่งตลาดที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีมูลค่าการบริโภคอยู่ในระดับ 1,700 ล้านบาทต่อปี และมีไวไวเป็นผู้นำในตลาดด้วยส่วนแบ่งที่แทบจะผูกขาดถึงกว่า 90% นั่นคือ ตลาดเส้นหมี่อบแห้ง เส้นหมี่ขาวอบแห้งในห่อสี่เหลี่ยมทรงยาว คุ้นเคยอยู่ในครัวไทยมายาวนานเทียบเท่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่การแข่งขันกลับไม่มีคู่แข่งบิ๊กเนมมากเท่า รวมไปถึงน้อยกว่าการแข่งขันในตลาดวุ้นเส้นซึ่งเป็นสินค้าที่วางอยู่ในชั้นวางติดกันในซูเปอร์มาร์เกต ไม่มีแบรนด์มาม่า ยำยำ ไม่มียักษ์ใหญ่อย่างต้นสน มีเพียงแบรนด์เกษตรที่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำตลาดนี้มากนัก วางสินค้าอยู่บนชั้นวางควบคู่ไปกับไวไว และแบรนด์เล็ก แบรนด์น้อย อีกส่วนที่ก็ล้วนไม่เคยใช้งบในการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้านี้โดยตรง แต่ด้วยอานิสงส์จากการสร้างแบรนด์ของไวไวในฟากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จึงทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคเส้นหมี่อบแห้ง เกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ไวไวมากกว่าแบรนด์อื่นๆ จนทำให้วันนี้ไวไวแทบจะครองตลาดเส้นหมี่อบแห้งแบบผูกขาดรายเดียวมาเป็นเวลานาน จนมาถึงในปีนี้ ไวไวที่เล่นบทผู้ตามมาโดยตลอด อยากเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้นำบ้าง ใช้วาระครบรอบ 39 ปีของการก่อตั้งบริษัทโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย ทุ่มงบประมาณก้อนแรกในรอบเกือบ 40 ปี ถึง 30 ล้านบาท ให้กับเส้นหมี่อบแห้งไวไว ในการทำแคมเปญส่งเสริมการตลาดอย่างครบเครื่องทั้งการใช้สื่อหลัก สื่อรอง จัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย รวมไปถึงการปรับแพกเกจจิ้ง เพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า เบญญาภา ปริญณรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเส้นหมี่อบแห้งไวไว กล่าวว่า ธีมหลักของการสื่อสารแบรนด์เส้นหมี่อบแห้งไวไว เป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปี ใช้คอนเซ็ปต์ว่า 'หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เส้นหมี่ ไวไว' สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในตลาดเส้นหมี่อบแห้ง ที่ไวไวสามารถครองความเป็นเจ้าตลาดมานาน มีสัดส่วนมากกว่า 90% ซึ่งหัวใจสำคัญของความไว้ใจ เกิดจากความจริงใจจากผู้บริโภค ที่เกิดขึ้นมาตลอด 39 ปี ในครอบครัวไทย ทุกบ้าน ทุกร้านอาหาร ทุกคนมีความไว้วางใจเลือกเส้นหมี่อบแห้งตราไวไวมาทำอาหารให้คนที่รัก หรือเลือกคุณภาพที่ดีให้กับลูกค้าเสมอ อาวุธสำคัญของแคมเปญนี้ คือหนังโฆษณาเรื่องแรกของเส้นหมี่อบแห้งตราไวไว เรื่อง 'หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ' เนื้อหานำเสนอความเป็นหนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เล่าเรื่องผ่านเพลงโฆษณาที่สนุกสนาน กินใจ กล่าวถึงชีวิตครอบครัวคนไทยในทุกๆ รุ่น เห็นถึงความน่ารัก ความไว้ใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นคุณค่าทางใจ เป็นคุณค่าทางความอร่อย เป็นคุณภาพที่ดีของเส้นที่เหนียวนุ่มไม่ขาดตอน คนรุ่นก่อนๆ เป็นยอดแม่ครัวไทย เช่น รุ่นคุณย่า ได้ถ่ายทอดฝีมือและการเลือกใช้เส้นหมี่ที่ดีทำอาหารรสเลิศ จนส่งต่อมาสู่รุ่นคุณแม่ และสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน สู่แม่บ้านสมัยใหม่ที่เพิ่งหัดทำอาหาร จนปัจจุบันกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สานสายสัมพันธ์ของครอบครัวไทยไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น ช่วยสร้างความใกล้ชิดกันตั้งแต่การช่วยกันทำอาหาร สร้างความสุขในเวลาอร่อยกับอาหารนานาชนิดที่ทำด้วย เส้นหมี่อบแห้งตราไวไว จนคนทุกกลุ่ม รวมทั้งร้านก๋วยเตี๋ยวสุดอร่อยทั่วไทยยังไว้ใจ ทุกคนต่างยกนิ้วให้กับ หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เส้นหมี่ไวไว โดยความพิเศษของหนังโฆษณาเรื่องนี้ ได้ สุรักษ์ สุขเสวี นักแต่งเพลงชื่อดังที่เคยมีผลงานให้กับศิลปินจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มาเป็นผู้ประพันธ์เพลงโฆษณา และขับร้องโดยนักร้องขวัญใจวัยรุ่น ปราโมทย์ วิเลปะนะ เบญญาภา กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาดของเส้นหมี่อบแห้งไวไว ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้ และจดจำในตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า และปรับแพกเกจจิ้งให้ดูสวยงามและทันสมัยมากขึ้น มีการจัดโปรโมชั่นสำหรับผู้บริโภค อาทิ กิจกรรมสำหรับลูกค้าที่ใช้เส้นหมี่ตราไวไว แจกโชค 'มีไวไวติดครัว เหมือนมีครัวใหม่ติดบ้าน' แต่งครัวพร้อมอุปกรณ์ให้ฟรี มีการใช้สื่อแมสมีเดีย ประกอบด้วย TVC ในฟรีทีวี ทั้งช่อง 3, 5, 7 และโมเดิร์นไนน์ทีวี, สื่อวิทยุคลื่น 94.5 ลูกทุ่งอินเตอร์ รวมถึงการเข้าเป็น Sponsorship ในรายการโทรทัศน์ หมึกแดงโชว์, ตี๋อ้วนชวนหิว, Living Mantra, ครัวอินดี้, ครัวคุณหรีด ขณะที่ในส่วนภูมิภาค สื่อสารผ่านช่องทีวีดาวเทียม ไทยไชยโย, มงคลแชนแนล, Live Shock, สื่อวิทยุ 20 คลื่นในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน สื่อ POP ครบทั้ง Poster, Banner, Sticker และ Shelf talker' เบญญาภา กล่าว การขยับตัวของไวไวในครั้งนี้จึงกลายเป็นการลงทุนสร้างแบรนด์ สนับสนุนการตลาดให้กับสินค้าเส้นหมี่อบแห้งเป็นครั้งแรกของตลาด ทั้งที่ส่วนแบ่ง 90% ได้มาโดยแทบไม่ต้องลงทุนสร้างแบรนด์เท่าไหร่ เมื่อเทลงไปถึง 30 ล้านบาท ก็ไม่แน่ว่า จบปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดของไวไว อาจจะไปถึง 99.99% เหลือ 0.01% ให้แบรนด์อื่นๆ ไปแบ่งกัน
|