วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

Japan Post : แปรรูปเพื่อปฏิรูป

นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2548


โดย สมศักดิ์ ดำรงสุนทรชัย

แม้ว่าการแปรรูปกิจการไปรษณีย์จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วทุกมุมของโลก แต่ในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีการแปรรูปกิจการไปรษณีย์แห่งใด ได้รับความสนใจเท่าการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของญี่ปุ่น หรือ Japan Post ซึ่งมิได้เป็นเพียงกระบวนการของการเปลี่ยนสถานะของหน่วยงานไปสู่การเป็นองค์กรมหาชนเท่านั้น หากการแปรรูปดังกล่าวนี้กำลังเป็นจักรกลสำคัญของการปฏิรูประบบราชการของญี่ปุ่น ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมโดยรวมด้วย

ความพยายามที่จะแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของ Junichiro Koizumi นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มิได้เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน แต่เป็นแนวความคิดที่พัฒนาต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ Koizumi ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการไปรษณีย์และการสื่อสาร (Posts and Telecommunications Minister) ในปี 1992 และ กลายเป็นแนวนโยบายหลักในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของ Koizumi มาตลอด ระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา

การยกระดับให้กรณีว่าด้วยการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ มีสถานะเป็นประเด็นสาธารณะและเป็นปัจจัยชี้ขาดสำหรับการตัดสินใจทางการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน หลังจากที่ Koizumi ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร หลังจากร่างกฎหมายว่าด้วยการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ไม่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา จึงไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

เพราะก่อนหน้านี้ Koizumi ได้วางเดิมพันอนาคตทางการเมืองไว้กับกรณีดังกล่าวอย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็นการสมัครเพื่อช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ในปี 1995 และ 1998 ที่ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ ก่อนที่ Koizumi จะประสบผลสำเร็จในการแสวงหาแนวร่วมและได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในปี 2001 และ 2003

ขณะที่นโยบายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ได้กลายเป็นแนวนโยบายสาธารณะ ที่ได้รับการวางลำดับความสำคัญไว้สูงสุดของรัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของ Koizumi มาโดยตลอด แม้จะมีการคัดค้านการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ ทั้งจากกลุ่มอนุรักษนิยม และกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านอย่างต่อเนื่องก็ตาม

ลำดับขั้นของการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ญี่ปุ่น เริ่มปรากฏภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้ง Postal Service Agency ในปี 2001 เพื่อเป็นองค์กรรับผิดชอบการแปรรูปวิสาหกิจแห่งนี้ ก่อนที่จะมีการก่อตั้ง Japan Post ซึ่งมีสถานะเป็นองค์กรมหาชนขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2003 พร้อมๆ กับร่างกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมากที่ทยอยเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ประเด็นใหม่ในเชิงนโยบายของสังคมญี่ปุ่น เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้เคยแปรรูปกิจการสาธารณูปโภคของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกิจการรถไฟ กิจการไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งกิจการยาสูบมาแล้ว แต่กิจการที่มีการแปรรูปไปก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ดำเนินไปเพราะความจริงที่ว่า กิจการเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะขาดทุน หรือขาดสภาพคล่องในการขยายกิจการเพื่อการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่สำหรับกิจการไปรษณีย์ กรณีดังกล่าวแตกต่างออกไปอย่างมาก

ความสำคัญของการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของญี่ปุ่น เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่าจำนวนพนักงานที่มีมากถึงกว่า 400,000 คน Japan Post ได้กลายเป็นองค์กรธุรกิจที่มีพนักงานในสังกัดมากที่สุดของญี่ปุ่น ขณะที่จำนวนพนักงานดังกล่าวยังคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของอัตรากำลังภาครัฐทั้งระบบ ซึ่งหมายถึงภาระในงบประมาณภาครัฐในรูปของเงินเดือนและสวัสดิการบำเหน็จบำนาญจำนวนมหาศาลอีกด้วย

ภายใต้สถานการณ์ที่สังคมญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะเป็น Aged Society มากขึ้นทุกขณะนั้น กรณีว่าด้วยระบบบำเหน็จบำนาญ (pension system) ที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจในสังคมญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง ควบคู่กับความกังวลใจเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ ที่อาจเกิดขึ้นจากผลของ pension system ที่ล้มเหลวในอนาคต

ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา Democratic Party of Japan (DPJ) พรรคการเมืองฝ่ายค้านของญี่ปุ่น ซึ่งมีท่าทีคัดค้านนโยบายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของ Koizumi มาโดยตลอดช่วงก่อนหน้านี้ ได้พยายามที่จะเสนอทางเลือกในการสื่อสารกับประชาชนด้วยนโยบายการปฏิรูประบบเบี้ยบำนาญ (pension reform) เพื่อโน้มน้าวคะแนนเสียงจากกลุ่มคนในวัยทำงาน และมีฐานะเป็นฐานคะแนนเสียงขนาดใหญ่ แต่ DPJ ไม่สามารถระบุรายละเอียดของมาตรการและแผนปฏิบัติการได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับนโยบายการแปรรูปไปรษณีย์ ที่หากดำเนินการสำเร็จจะสามารถลดทอนภาระค่าใช้จ่ายในส่วนของเบี้ยบำนาญภาครัฐได้โดยตรงทันที

ขณะเดียวกัน ขนาดขององค์กรที่ใหญ่โตของ Japan Post ดังกล่าว ได้ส่งผลให้เกิดความเคลือบแคลงต่อกลไกการบริหารของ Japan Post ที่ถูกระบุว่าเป็นแหล่งเพาะเชื้อระบบอุปถัมภ์ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องแล้ว ยังมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมากด้วย

Koizumi และ LDP ได้พยายามนำเสนอการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ ให้เป็นประหนึ่งมาตรการลำดับต้นของแนวความคิดว่าด้วย small government ที่นำไปสู่การปฏิรูประบบราชการทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของระบบกองทุนเบี้ยบำนาญ (pension fund) ซึ่งสามารถสร้างคะแนนนิยมจากประชากรวัยทำงานโดยเฉพาะ ในเขตเมืองใหญ่ ที่เดิมเป็นฐานเสียงสำคัญของ DPJ ให้กลับมาสนับสนุนผู้สมัครจาก LDP ได้เป็นอย่างดี

ชัยชนะของ Koizumi และ LDP อย่าง ท่วมท้นในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้แทน ราษฎรเป็น 296 ที่นั่ง จากเดิมที่มีจำนวน ส.ส. 212 คนจากผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2003 มิได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความมั่นใจในการบริหารของ Koizumi เท่านั้น หากยังเป็นประหนึ่ง mandate สำหรับการปฏิรูประบบการเมืองอย่างต่อเนื่องในอนาคต และทำให้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยที่เคยลงมติคัดค้านการแปรรูปไปรษณีย์ แสดงท่าทีที่พร้อมจะสนับสนุนร่างกฎหมายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ ตามมติของประชาชนที่แสดงออกเป็นผลการเลือกตั้ง

ขณะเดียวกันภายใต้โครงสร้างและบริการของ Japan Post ซึ่งมีจำนวนสำนักงานสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 24,700 แห่งนั้น Japan Post มิได้มีธุรกิจหลักอยู่เพียงการให้บริการด้านไปรษณียภัณฑ์ (Postal Service) หากยังรวมถึงการบริการรับฝากเงิน (Postal Saving Services) และธุรกิจประกันชีวิต (Postal Life Insurance Services) ทำให้องค์กรแห่งนี้มียอดจำนวนเงินฝากที่เป็นการออมระดับครัวเรือนมากถึง 350 ล้านล้านเยน (ประมาณ 3.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือเป็นยอดเงินออมผ่านระบบ postal savings system ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นจำนวนสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนมากกว่า 25% ของสินทรัพย์ครัวเรือนญี่ปุ่นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ตัวเลขประมาณการล่าสุดระบุว่า ยอดเงินฝากใน Postal Saving Services มีประมาณ 224 ล้านล้านเยน (2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ขณะที่การออมผ่านระบบการประกันชีวิต Postal Life Insurance อยู่ที่ระดับประมาณ 126 ล้านล้านเยน (1.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ซึ่งล้วนแต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมในลักษณะ conservative and risk- adverse ของประชาชนที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างไม่อาจเลี่ยง

แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่น จะอยู่ในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่จำนวนเงินฝากปริมาณมหาศาลดังกล่าวได้ส่งผลเป็นภาระทางการเงินให้กับรัฐบาลญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การนำเงินออมดังกล่าวไปลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ได้รับการวิพากษ์และคัดค้านอย่างหนักหน่วง และทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นโดย Japan Post ต้องแบกภาระหนี้สาธารณะจำนวนกว่า 1.4 แสนล้านเยนหรือประมาณ 1 ใน 5 ของปริมาณหนี้สินภาครัฐทั้งระบบ ในรูปของพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำเงินไปใช้ในการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านี้

ประเด็นที่น่าสนใจของการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่ที่การขยายแขนงทางธุรกิจออกไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ดังที่ปรากฏในบางประเทศ เพราะภายใต้นโยบายแปรรูปไปรษณีย์ กิจกรรมทางธุรกิจหลักทั้งสามส่วนของ Japan Post จะถูกแยกออกเป็นหน่วยทางธุรกิจที่มีความเป็นเอกเทศ โดยจะมีการจัดตั้ง holding company ขึ้นมาเป็นแกนหลักในกระบวนการบริหาร ซึ่งการแยกธุรกิจบริการรับฝากเงิน (Postal Saving Services) และธุรกิจประกันชีวิต (Postal Life Insurance Services) ออกเป็นองค์กรธุรกิจโดยเฉพาะ นอกจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันอย่างหนักหน่วงในแวดวงการเงินการธนาคารของญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว

กรณีดังกล่าวได้ทำให้การแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของญี่ปุ่น เป็นกรณีที่มีเนื้อหา และผลกระทบในเชิงโครงสร้างต่อพัฒนาการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมอย่างกว้างขวาง และมีนัยในเชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาที่น่าสนใจมากกว่ารูปแบบทางธุรกิจ สำหรับการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอนาคต ซึ่งเป็นเพียงรายละเอียดของบริการหลากหลายที่ Japan Post จะพึงมีเท่านั้น

ความมุ่งหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการ re-boost and refresh ของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้ปริมาณเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ Japan Post มีอยู่นี้ ถูกผูกโยงเข้ากับทิศทางของนโยบายสาธารณะภาครัฐบาลอย่างไม่อาจเลี่ยง ในฐานะที่กำลังเป็นประหนึ่งทรัพยากรและจักรกลสำคัญ สำหรับการบรรลุเป้าหมายการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อปี 1991

แม้ว่าการแปรรูปและการแยกส่วนกิจการของ Japan Post ที่กำหนดให้สำเร็จเสร็จสิ้นในปี 2007 ยังเป็นกรณีที่ต้องถกแถลงและเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบจากรัฐสภาญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนว่ากระบวนการของการปฏิรูปอย่างมีองค์รวมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

Japan Post Holdings Company

นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2550

Japan Post Holdings Company
โดย ชุมพล ธีรลดานนท์

และแล้ว Japan Post Holdings Company ได้เริ่มก้าวแรกในวันที่ 1 ตุลาคม 2007 หลังจากร่างกฎหมายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ญี่ปุ่นผ่านความเห็นชอบจากสภาไดเอท อันเป็นชัยชนะท่ามกลางแรงเสียดทาน บนเส้นทางการเมืองของรัฐบาล Junichiro Koizumi* เมื่อ 2 ปีก่อน

อีกนัยหนึ่งชัยชนะดังกล่าวได้สะท้อน ให้เห็นวิสัยทัศน์และภาวะผู้นำของอดีตนายก รัฐมนตรี Koizumi เสมอเหมือนปราชญ์ด้านการเมือง ที่ชี้นำให้ประชาคมญี่ปุ่นเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นอันดับต้นๆ ในการแปรรูปหน่วยงานรัฐบาลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ถึงขั้นมีการนำไปเปรียบเปรยกับเมื่อครั้งที่กาลิเลโอใช้เหตุผลโน้มน้าวให้เห็นถึงความจริงที่ว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

ในท่วงทำนองสอดคล้องกันนั้นใจความ สาระของการแปรรูปไปรษณีย์ญี่ปุ่น ซึ่งมิได้จำเพาะอยู่ที่การจัดตั้ง Holdings Company ขึ้นมาดูแลกิจการของบริษัทในเครือให้เป็นโมเดลทางธุรกิจที่สวยหรูหลังการแปรรูปเพียง เท่านั้น แต่ยังสอดคล้องอย่างแนบแน่นไปกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติแบบยั่งยืน ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว นั่นหมายถึง สินทรัพย์ บุคลากรและเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่วนเวียนในระบบ ของไปรษณีย์ญี่ปุ่น มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

การเพิ่มศักยภาพให้ไปรษณีย์ญี่ปุ่นพร้อมที่จะแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการส่งของ รวมถึงบริษัทประกันชีวิตในภาคเอกชนที่เกิดภายหลังการแปรรูป ถือเป็นหนึ่งในนโยบายที่นำมาใช้สำหรับเตรียมการรองรับ ขนาดเศรษฐกิจที่จะหดตัวลงในอนาคต ด้วยการผลักดันให้ Japan Post Holdings Company ทำหน้าที่ประหนึ่งเฟืองขนาดใหญ่ที่ประสานกับเฟืองจักรอื่นอย่างเป็นระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อหมุนตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้อย่างทันท่วงที

ภายหลังการเตรียมการ 2 ปีเต็มนับจากกฎหมายการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ได้บัญญัติออกมา Japan Post เดิมได้แปลงสภาพเป็น Japan Post Holdings Company กับบริษัทในเครืออีก 4 แห่งได้แก่ Japan Post Network Co.Ltd., Japan Post Service Co.Ltd., Japan Post Bank Co.Ltd., และ Japan Post Insurance Co.Ltd.

โดยหลักการแล้วบริษัทในเครือทั้งสี่ยังคงบริบทเนื้องานเดิมในส่วนของบริการไปรษณีย์ การออมทรัพย์และการประกันชีวิตเอาไว้แต่มีการจัดการใหม่ภายใต้กำกับดูแลของ Japan Post Holdings Company ซึ่งมุ่งเน้นเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริการเพื่อตอบสนองและเติมเต็มความต้องการของ ประชาชนให้ทัดเทียมหรือดีกว่าการบริการที่พึงได้รับจากภาคเอกชนและเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น การเข้าไปมีส่วนสนับสนุนธุรกิจของลูกค้า รายใหญ่และรายย่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้า ในชนบท

ปรัชญาการบริหารองค์กรดังกล่าวยังได้รับการสื่อออกมาด้วยสโลแกนใหม่ที่ว่า "Atarashii Futsu wo Tsukuru" ซึ่งคำว่า Atarashii Futsu ในที่นี้กินความไปถึงบรรทัด ฐานใหม่ของความเชื่อถือและความพึงพอใจในบริการของ Japan Post ที่จะดียิ่งขึ้นกว่า 136 ปีที่ผ่านมา ความหมายในสโลแกนใหม่จึงบ่งบอกถึงเป้าประสงค์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริการอันเป็นสินทรัพย์สำคัญที่แปรค่าออกมาเป็นตัวเงินไม่ได้

แม้ว่าบริการพื้นฐานของ Japan Post Service โดยทั่วไปมิได้แตกต่างจากกิจการไปรษณีย์ของประเทศอื่นมากนักแต่รายละเอียดปลีกย่อยรวมถึงความรับผิดชอบความกระตือรือร้นของพนักงานไปรษณีย์ญี่ปุ่นไม่แพ้ที่ใดในโลก

ไปรษณียภัณฑ์ที่ส่งภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะสูญหายระหว่างทาง ในขณะเดียวกันผู้ส่งสามารถคำนวณอัตราค่าบริการและเวลาที่จะส่งไปถึงปลายทาง ได้ล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ของไปรษณีย์ ซึ่งให้บริการทั้งภาษาอังกฤษและญี่ปุ่น

กรณีของจดหมายและพัสดุลงทะเบียน รวมถึง EMS ที่นำมาส่งแล้วแต่ผู้รับไม่อยู่บ้าน นั้นบุรุษไปรษณีย์จะบันทึกรายละเอียดการส่งของและแนบไว้ที่กล่องรับจดหมาย ซึ่งผู้รับสามารถติดต่อที่ทำการไปรษณีย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงตามเลขหมายโทรศัพท์ที่ระบุไว้หรือ ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อนัดวันและเวลาที่สะดวก ให้นำของมาส่งให้อีกครั้งได้ตามต้องการ

นอกจากนี้ที่ Japan Post Service ยังมีบริการ "Yu-Pack" ส่งพัสดุภายในประเทศ ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 30 กิโลกรัม หรือไม่เกิน 1.7x1.7x1.7 ลูกบาศก์เมตร ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สด ผลไม้ ของแช่เย็น 0-5 ํc แช่แข็ง -18 ํc ไม้กอล์ฟ ไม้สกี รวมทั้งรับส่งกระเป๋าเดินทาง ระหว่างบ้านและสนามบินในราคายุติธรรมเมื่อเทียบกับบริษัทขนส่งเอกชนบางแห่งเสียอีก

หากเป็นพัสดุขนาดไม่ใหญ่โตสามารถ บรรจุในซองที่ไปรษณีย์กำหนดเพื่อจัดส่งแบบธรรมดาที่เรียกว่า "ExPack500" ซึ่งเป็น บริการส่งของได้ในราคาเดียวคือ 500 เยนทั่วประเทศ อีกทั้งสามารถระบุวันและเวลาที่ต้องการจะให้ของส่งไปถึงมือผู้รับได้ด้วย

บริการที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของ ไปรษณีย์ญี่ปุ่นคือการจัดส่ง Nengajo** ซึ่งมีบุรุษไปรษณีย์อยู่เบื้องหลังการส่งความสุขไปทุกครัวเรือนในรุ่งอรุณวันปีใหม่ของญี่ปุ่น

การเปลี่ยนแปลงที่ถูกเฝ้าจับตามองมากที่สุดภายหลังการแปรรูปไปรษณีย์อยู่ที่ Japan Post Bank Co.Ltd. หรือที่มักเรียกกันว่า Yucho Bank ได้กลายฐานะเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยขนาดของสินทรัพย์รวม มีบัญชีเงินฝากอยู่ราว 400 ล้านบัญชี มีเงินฝาก 187 ล้านล้านเยน ซึ่งมาก กว่าธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองอย่าง Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ อยู่ถึง 1.8 เท่าตัว

เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ในญี่ปุ่นแล้ว Yucho Bank ยังจัดว่าอ่อนประสบการณ์ ในการจัดการสินทรัพย์ ยกเว้นเรื่องของการซื้อ พันธบัตรรัฐบาลและการลงทุนที่มีความเสี่ยง ต่ำ ซึ่งในกระบวนทัศน์การบริหารขั้นแรกเริ่มจากการปล่อยสินเชื่อเพื่อการเคหะร่วมกับ ธนาคารท้องถิ่น ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โตเกียว ปี 2009 ซึ่งภายใต้การดำเนินการที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นคาดว่าจะสามารถ ทำกำไรหลังหักภาษีได้ 508 พันล้านเยนได้ในสิ้นปีหน้า

ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นอยู่ในขั้นต่ำมากก็ตามแต่ Yucho Bank เสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่อื่นเพื่อกระตุ้นการออมเงิน พร้อมกันนั้นการคิดค่าธรรมเนียมใน การใช้บริการ ATM อย่างเป็นธรรมเหมือนธนาคารพาณิชย์ทั่วไปนั้นถือเป็นจุดแข็งอีกประการหนึ่งของ Yucho Bank

ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Yucho Bank ธุรกิจประกันของไปรษณีย์ญี่ปุ่นโดยบริษัท Japan Post Insurance กลายเป็นบริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีสินทรัพย์ 117 ล้านล้านเยน ซึ่งมากกว่า Nippon Life Insurance ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับสองอยู่ 2.2 เท่า

Japan Post Insurance อาศัยความ สัมพันธ์จากฐานลูกค้าไปรษณีย์ที่มีอยู่เดิมรุกคืบเร่งขายประกันชีวิตหลายประเภทโดยเฉพาะประกันสุขภาพที่ตั้งเป้าไว้ที่ 40% ของประกันทั้งหมดของบริษัท

ธุรกรรมทั้ง 3 ประเภทนี้สามารถดำเนินการผ่าน Japan Post Network กว่า 24,700 สาขาทั่วประเทศ ในลักษณะ Over-The-Counter ที่มีอยู่แล้วในที่ทำการไปรษณีย์ โดยปรับปรุงตกแต่งใหม่อย่างเรียบง่ายซึ่งช่วย ประหยัดเงินลงทุนในการแปรรูปได้ไม่น้อย

แผนการแปรรูปแยกส่วนบริษัทในเครือ Japan Post Holdings Company ออกจาก กันอย่างเอกเทศจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2017 เมื่อถึงเวลานั้น Japan Post Network ทำหน้าที่เป็นหน่วยย่อยของระบบเครือข่ายบริการ สาธารณูปโภคที่กระจายตัวทั่วประเทศในระดับ รากหญ้า พร้อมกันนั้นยังมีความหมายในเชิงสังคม-จิตวิทยาต่อประชาชนโดยเฉพาะที่อาศัยในชนบทห่างไกลให้เกิดความมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศญี่ปุ่นก็มีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงรองรับอยู่เสมอ

หมายเหตุ
* อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน "Japan Post : แปรรูปเพื่อปฏิรูป" นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2548 โดยสมศักดิ์ ดำรงสุนทรชัย
** อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน "Nengajo" นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2549

ING : พวกนอกรีตในอุตสาหกรรมธนาคาร (แหวกแนว)

ING : พวกนอกรีตในอุตสาหกรรมธนาคาร (แหวกแนว)

“ING DIRECT USA. ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานแบบไม่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ เราไม่เหมือนกับธนาคารอื่น ๆ เราไม่เพียงแต่พัฒนารูปแบบธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ แต่วิธีที่เรามองธุรกิจก็แตกต่างกว่าที่คู่แข่งมอง จุดมุ่งหมายของเราคือการเป็นผู้ให้บริการแก่บุคคลโดยเฉลี่ย (average person : คนทั่วไป) ไม่ได้มุ่งให้คนใช้จ่ายมากขึ้น – แบบที่ธนาคารอื่นทำ – วิธีการของเราคือให้ชาวอเมริกันออมมากขึ้น เพื่อนำไปสู่คุณค่าของการประหยัด พึ่งตัวเองได้ และการสร้างรังของตัวเอง

ING DIRECT กำเนิดขึ้นในช่วงของ broken promises สิ่งสุดท้ายที่ชาวอเมริกันต้องการคือ ธนาคารอีกแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าชาวอเมริกันไม่ต้องการเรา ภารกิจของ ING DIRECT คือการทำให้การออมง่าย โดยการมอบคุณค่าที่ยิ่งใหญ่สู่ชาวอเมริกันทุกคน” คำกล่าวของ ARKADI KUHLMANN ประธานและ CEO ของ ING DIRECT (สหรัฐและแคนาดา)

หลายองค์กรพยายามเข้ามาสู่ธุรกิจธนาคารด้วยรูปแบบธุรกิจที่เป็นนวัตกรรม แต่ผู้นำที่ครองตำแหน่งมักจะป้องกันธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ ING DIRECT เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ARKADI ผู้ก่อตั้งมีความชัดเจนในจุดมุ่งหมาย “ไม่มีอะไรที่ในธุรกิจจะไม่สามารถ Reenergized ได้ ”

ลูกค้าต้อนรับบริษัทด้วยความเปิดเผย ในเวลา 5 ปี ING กลายเป็นธนาคารแบบอินเตอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุด - ผ่าน ETRAD BANK – ในสหรัฐ และเป็นหนึ่งใน 30 แบงค์ ทุกประเภทที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศ บริษัทเพิ่มความประหลาดใจแก่ลูกค้า 100,000 ราย และเงินฝากจำนวน 1 พันล้านเหรียญทุกเดือน ในปี 2505 (5 ปีที่ดำเนินการมา) สร้างผลกำไร จำนวน 360 ล้านเหรียญ และทั้งหมด 90 % ของลูกค้า บริษัทเชื่อว่า บริษัทให้บริการที่ดีกว่าคู่แข่ง



เค้าโครงของ ING Group

ING DIRECT เป็นหนึ่งใน 6 ธุรกิจของกลุ่ม ING ซึ่งเป็นกลุ่มให้บริการการเงินระหว่างประเทศที่สำคัญ มีให้บริการในกว่า 50 ประเทศ และมักถูกยกมาเป็นตัวอย่าง ของผู้ให้บริการทางการเงินแบบรวม, นำเสนอการประกันภัย, การธนาคาร และการจัดการสินทรัพย์แก่ลูกค้า ทั้งบุคคล, ครอบครัว, ธุรกิจรายย่อย, บริษัทใหญ่, และสถาบันและรัฐบาล

กลุ่ม ING คือการขยายธุรกิจทางการเงินแบบ Conglomerate (กลยุทธ์การขยายธุรกิจแบบหนึ่ง : ผู้แปล) ก่อตั้งปี 1991 โดยการควบรวมระหว่าง Nationgle – Naderlanden, บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดของ เนเธอร์แลนด์ และ NMB post bank group, หนึ่งในกลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอแลนด์ ตัว NMB เอง เป็นผลของการควบรวมระหว่าง NMB banking group กับ Post bank Post bank ได้แยกตัวมาจาก Dutch Post Office และแปรรูปออกมา คนในบริษัท INC เชื่อว่า Post Bank เป็นแรงบันดาลใจที่แท้จริงของ ING Direct

การควบรวมระหว่าง Nationale – Nederlander และ กลุ่ม NMB ได้ก่อให้เกิด Bancassurer ครั้งแรกในเนเธอแลนด์ ตั้งแต่ปี 1991 INC ได้พัฒนาจากสถาบันการเงินของดัทช์ด้วยธุรกิจระหว่างประเทศไปสู่หลากหลายธุรกิจ ระดับประเทศด้วยรากฐานของดัทช์ บริษัทได้ควบรวมบริษัทประกันภัยและธนาคารในอังกฤษ (Bank Bank, 1995) เบลเยี่ยม (Bank Brussels Lambert 1998) เยอรมัน (BHF Bank 1998) สหรัฐ (Iquitable of Iowa, 1997 ; Reliastar, 2000; Ac tnc Finalcial services, 2000) แคนาดา (Wellington, 1995 ; Canadian Group Underwriters, 1998; Allianz of Canada, 2004) และประเทศอื่น ๆ สถาบันการเงินเหล่านี้บางแห่งถูกขายออกไป เช่น บางส่วนของ Barings และ BHF-Bank กลุ่ม ING กลายเป็นหนึ่งใน 15 สถาบันการเงินระดับโลกและทอปเทนในยุโรป รูปที่ 1 แสดง 20 สถาบันการเงินที่วัดจาก Market Capitalization

ING ยังใช้ Greenfields เพื่อสร้างธุรกิจ Greenfields ถูกตั้งเพื่อเปิดตลาด ซึ่ง ING เสนอคอนเซ็ฟท์ ธนาคาร + ประกันภัย (Bancassurance) เพื่อให้ตลาดในบ้านดีขึ้น กลุ่ม ING ยังหาวิธีการอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตของกำไร บริษัทสร้างฝ่ายขายปลีกระหว่างประเทศ/ Direct Banking ซึ่งประกอบด้วยทีมตลาดที่ดีที่สุดรวมถึงคน IT ของ Post Bank CEO ของ Post Bank, Itans Verdoren เป็นหัวหน้าของฝ่ายนี้ การเสี่ยงครั้งนี้ เพื่อค้นหาว่ากลยุทธ์ไหนของ Post Bank ที่สามารถจะขยายไปนอกตลาดของ ดัทช์ Post Bank ดำเนินการแบบ “ไม่มีสาขา” เป็นเวลาหลายปี ด้วยการเสนอบัญชีเช็คแบบง่าย, การออม, การจำนอง, การกู้ และผลิตภัณฑ์ของการลงทุน

ฝ่ายใหม่ปฏิบัติการจากส่วนที่เหลือของบริษัทโดยอัตโนมัติ บริษัทแม่ให้อิสระที่จำเป็นแก่องค์การใหม่ หลังการวิจัยทางการตลาดอย่างละเอียด ทีมงานได้นำ ING Direct Banking ไปแคนาดาเป็นครั้งแรก ปี 1996

ING เลือกแคนาดาเพราะยังไม่มีที่นั่น และตลาดโดดเด่นเพราะผู้เล่นน้อย ING เห็นด้วยที่ว่ามันสำคัญ สำหรับการทดลองที่จะอยู่รอดหรือล้มเหลวด้วยตัวเอง บริษัทได้สร้างเงื่อนไขของความสำเร็จโดยการจัดให้มีค่าเฉลี่ยทางการเงินที่เหมาะสม และทีมบริหารทีมใหม่ นำโดย Arkadi Kuhlmann

ความสำเร็จที่เติบโตในธุรกิจของธนาคาร

Arkadi Kuhlmann นักกวีและผู้ขับขี่รถ Harley เป็นศาสตราจารย์ด้านการเงินและการลงทุนที่ American Graduate School Of International Management (Thunderbird) ใน ฟีนิกส์, อริโซนา และยังเป็นประธานของ North American Trust, CEO ของ Deak International Incopoated และรั้งตำแหน่งบริหารที่ Royal Bank ของแคนาดา เมื่อ Hans Verhoran ถามเขาว่าสนใจที่จะเริ่มต้นงานธนาคารต่างชาติในแคนาดาหรือไม่ในปี 1996 เขารับตำแหน่ง

Arkadi สังเกตว่าธนาคารต่างชาติน้อยรายที่ประสบผลสำเร็จในการเข้าสู่อุตสาหกรรมธนาคารในอเมริกาเหนือ และได้สร้างตำแหน่งทางการแข่งขันในตลาดนั้น แต่เขาตระหนักว่าผู้มาก่อนยังไม่สามารถเอาชนะได้

“ธนาคารทั่วไปมีอุปสรรค พวกเขามีต้นทุนคงที่สูง และใช้เทคโนโลยีที่ไม่มีประสิทธิภาพ มีระบบการกระจายที่ไม่ยืดหยุ่น คิดค่าธรรมเนียมแพงไป ลูกค้าก็หายไป เมื่อเราเข้ามา เราพูดว่า “เราจะทำสิ่งที่แตกต่างได้อย่างไร” เรามองไปที่อุตสาหกรรมอื่น และลอกบางส่วน idea จากผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมค้าปลีกและสายการบิน มันจริงที่ว่าเราไม่ได้กำหนดอะไรใหม่ ๆ ในปริบทของ Southwest Airline และ Wallmart มันมีความคล้ายคลึงกันเป็นเวลาหลายสิบปี Southwest Airline ได้ท้าทายวิธีการที่เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมต่อเศรษฐกิจและบริการลูกค้า และได้ผลที่สำเร็จ และเราอยู่บนทางของเราในการทำสิ่งเดียวกันในอุตสาหกรรมธนาคาร บริษัทส่วนใหญ่โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมของเรา นาเบื่อ ถ้าเราทำในสิ่งที่เหมือนกับที่คนอื่น ๆ ทำ เราจะตีค่าได้อย่างไร ”

ING ทำให้ตัวเองแตกต่างจากธนาคารทั่วไปในหลายทาง แต่ที่สำคัญความแตกต่างอยู่ที่การเป็น Direct “ข้อดีที่สุดในการโดดเด่นในตลาดบริการทางการเงินที่ต่างจากคนอื่นคือ เราเป็น Direct การเป็น Direct ทำให้ตัดคนกลางออกไป ทำให้ประหยัดเงินได้ ในการเป็นธุรกิจค้าปลีก, ทำอย่างง่าย ๆ โฟกัส และเพิ่มทางตรงไปสู่คุณค่าที่ดี นี่เป็นเทรนค้าปลีกที่ผู้บริโภครู้ และเป็นส่วนหนึ่งที่เราควรเน้นในทุกสิ่งที่เราทำ

ING Direct เป็นการปฏิบัติโดยตรงต่อลูกค้า เป็นธนาคารที่ใช้ Internet เป็นฐาน ถึงแม้ว่าลูกค้าจะสามารถใช้บริการโดยเมลและโทรศัพท์ก็ตาม

ING ไม่มีสาขา ไม่มี ATM เป็นแค่ Café’ ในเมืองใหญ่ ซึ่งขายกาแฟและจักรยานเสือภูเขา นอกเหนือจากการออมทรัพย์, การฝากเงิน, การจำนองบ้าน, ทุนด้านบ้าน และซื้อขายหุ้น ING ไม่ได้นำเสนอบัญชีเช็คที่มีเอกสารแบบเก่า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง สำหรับการนี้ ING จะให้ลูกค้าไปทำที่ธนาคารเดิมของลูกค้า ING ไม่คิดค่าธรรมเนียมและไม่มีการฝากขั้นต่ำ และจำนวนที่จำกัดของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ

สิ่งที่เริ่มเป็นการทดลองในแคนาดาปี 1997 ได้กลายเป็นเรื่องความสำเร็จในธุรกิจการเงินทุกวันนี้ ING DIRECT ได้เริ่มดำเนินการในสเปน และออสเตรเลียในปี 1999 1 ปีต่อมา เราไปสู่ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ตั้งแต่นั้นมาเข้าไปอิตาลี อังกฤษ และเยอรมัน และวางแผนจะเข้าญี่ปุ่น สิ้นไตรมาสที่ 1

ของปี 2006 , มีเงินฝาก 194 พันล้านปอนด์ และลูกค้า 15.7 ล้านราย ดูรูป 2 ให้ปี 2005 กำไรของ ING DIRECT เป็น 7 % ของกำไรของ INC ทั้งหมด รูปที่ 3 แสดงความก้าวหน้าด้านกำไรจากการก่อตั้งจนถึงปี 2005



การ Reenergizing อุตสาหกรรมธนาคารค้าปลีกในสหรัฐฯ

ING DIRECT ดึงดูดความสนใจคนในอเมริกาด้วยหลายเหตุผล แม้ว่าจะมีการยอมรับ Internet อย่างกว้างขวางในบ้านเรือนชาวอเมริกัน, ธนาคารแบบ Online ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ING มีประสบการณ์การเติบโตที่ช่วงโชติตั้งแต่ได้เปิดตัวในเดือน ก.ย. 2000 มากกว่านี้ยังคุ้มความเสี่ยงภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ คือวิธีที่ ING วางตำแหน่งตัวเขาในอุตสาหกรรมธนาคารในอเมริกา ARKADI ปฏิเสธว่า ING DIRECT เป็นธนาคาร Internet แม้ว่าเว็บจะเป็นช่องทางเริ่มต้นของลูกค้า

“จริง ๆ เราเป็นธนาคารออมทรัพย์ ที่โฟกัสที่การจำนองที่อยู่อาศัยและการอบรม คุณไม่สามารถได้อะไรนอกจากนั้น”

ในทั้งหมดของการสื่อสาร ING DIRECT ชี้ว่ามันเป็นธนาคารที่ตั้งขึ้นแบบได้รับอนุญาตและการออมรับรองโดย FDIC เพื่อเป็นประกันกับลูกค้า และเป็นสิ่งที่เปรียบเทียบกับธนาคารอื่น ๆ อันที่จริงไม่มีอะไรที่เป็นธรรมดาเกี่ยวกับ ING DIRECT



การนำเสนอผลิตภัณฑ์ของ ING DIRECT และข้อเสนอที่มีค่า

ในธนาคารทั่วไป, ที่หนึ่งและที่มาก่อนหน้า, โฟกัสที่บริการจ่ายเงิน ในกรณีที่ได้รับบริการ เช่น ทำเช็ค, การเผชิญกับเจ้าหน้าที่ให้บริการ, และ ATM คุณจะถูกเป็นเจ้าของโดยธนาคาร แต่กลยุทธ์ของ ARKADI : แตกต่างสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ คือการเปิดบัญชีเงินฝาก บัญชีเหล่านี้ มีจำนวนการติดต่อจำนวนมากต่อเดือน และต้องมีสาขามาก และต้องมีพนักงานจำนวนมากในการจัดการ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ING DIRECT ต้องการเป็น “ธนาคารของคุณอีกธนาคารหนึ่ง” ที่นำเสนอ บัญชีเงินฝากที่แสนง่าย มีผลตอบแทนสูง ที่เรียกว่า Orange Saving Account- สีของ ING DIRECT คือสีส้ม ลูกค้าได้รับการสนับสนุนให้ย้ายเงินกลับไปมาระหว่าง บัญชีเงินฝากของ ING DIRECT และบัญชีเช็คของเขาที่มีอยู่ บัญชีจะให้อัตราผลตอบแทนสูงในตลาด บางทีเป็นสี่เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด (ดูรูป 4) ING DIRECT ของผลิตภัณฑ์ของตัวด้วยสโลแกนง่าย ๆ “อัตราดีไม่มีค่าธรรมเนียมไม่มีขั้นต่ำ”

ING DIRECT ยังให้จำนวนหุ้นที่จำกัด และทรัพย์สินของธนาคารประกอบด้วยการจำนองที่อยู่อาศัยแบบง่าย ๆ และเปอร์เซ็นเล็ก ๆ ของเครดิตส่วนของเจ้าของและเงินยืมลูกค้า เกือบ 90% ของเงินกู้ยืมเป็นการจำนอง ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด มีค่าธรรมเนียมต่ำและข้อเรียกร้องน้อย

แต่อะไรคือเอกลักษณ์ของอัตราผลตอบแทนสูง ARKADI ให้ความเห็นว่า “ไม่มี.....สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือ เราเสนออัตราผลตอบแทนสูงและเวลาเดียวกันให้บริการที่มีคุณภาพสูง กุญแจสำคัญในการส่งมอบบริการที่มีคุณภาพสูง คือความเรียบง่าย, ไม่มีอุบาย ไม่มีการฉกฉวย ลูกค้าต้องเข้าใจผลิตภัณฑ์ ING DIRECT ทันที ผู้มีการศึกษาด้านการเงินมีราคาแพงมาก แม้ว่ามืออาชีพด้านธนาคาร พิจารณาว่าการจำนองเป็นสิ่งที่ยากในการทำให้เป็นมาตรฐาน และขายใน Internet ARKADI ไม่เห็นด้วย “คุณสามารถเปลี่ยนการจำนองให้เป็นผลิตภัณฑ์ง่าย ๆได้ แต่มันต้องมีการ Reengineer ผลิตภัณฑ์และกระบวนการอยู่เบื้องหลัง และในบางปริบท คุณต้อง Reengineer ลูกค้าด้วย”

และกลยุทธ์ไม่เพียงแต่ดึงดูดลูกค้าใหม่จำนวนมาก แต่ยังยอมให้บริษัทผูกขาดลูกค้าส่วนใหญ่ด้วย

บัญชีเงินฝากสามารถทำได้ใน 5 นาที การจำนองใช้เวลา 7 นาที ในการปิด (มีเอกสารครบ) (ดูรูป 5) บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อกับลูกค้าทางโทรศัพท์ เว็ปไซต์ มีบทบาทสำคัญในการแจ้งลูกค้าว่าจะติดต่อกับบริษัทอย่างไร ING DIRECT ทำให้การเปิดบัญชีและการโอนเงินง่ายมาก และตรง ในเว็บไซต์ จะโพสท์ว่า “ง่ายที่จะได้มากกว่า” สำหรับคนที่ขอบติดต่อกับคนด้วยกัน ING DIRECTของอเมริกามีมากกว่า 500 call center ที่เชื่อมกับ 3 call center คนที่ศูนย์ได้รับการเทรนให้การตอบที่รวดเร็วและพร้อมบริการลูกค้า บริษัทพร้อมตอบ 80 % ของลูกค้าใน 20 วินาที ซึ่งโบนัสของพนักงานจะผูกติดกับการบรรลุเป้าหมายนี้ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ พนักงานจะได้รับการฝึกอบรม ประมาณ 20 วัน สำหรับผลิตภัณฑ์ 5 ตัว (ซึ่งมากเมื่อเทียบกับธนาคารทั่วไป) กลยุทธ์ด้านแบรนด์ของ ING ฯ สามารถอธิบายได้ด้วย GRASP : G = การติดต่อ, R = การตอบสนอง, A = การเข้าถึง, S = ง่าย และ P = ความชื่นชอบ



ลูกค้าเป้าหมาย

ลำดับแรกของธุรกิจสำหรับ ING DIRECT คือ การแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ง่ายและให้รางวัลกับลูกค้าที่ออมมากขึ้น ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้เสนอและลูกค้าที่ยังไม่ได้ให้บริการ ที่ไม่เหมือนกับคู่แข่งบริษัทไม่ได้สนใจคนอเมริกันที่รวย (นอกจากสิ่งที่บริษัทต้องการให้พวกเขาทำ) ” เราต้องการบริการคนอเมริกันทั่วไป “ตนอบเท่าที่เขาทำในสิ่งที่ ING DIRECTต้องการ ในปี 2004 บริษัทไล่ลูกค้าออกไป 3,500 ราย และไม่เล่นตามกฎของแบงค์ ลูกค้าพวกนั้นพึ่งคอยล์เซ็นเตอร์มากเกินไป หรือร้องขอสิ่งที่เป็นข้อยกเว้นจากวิธีดำเนินการที่เป็นมาตรฐาน

“คนไม่ควรเข้ามาและอธิบายปัญหาทางการเงินของเขา เราขายผลิตภัณฑ์และสินค้าไม่ใช่ทางแก้ปัญหา”



การสื่อสารข้อความ

ING DIRECT USA. ได้บริหารเพื่อสื่อสารข้อความให้ดีเกี่ยวกับกฎของบริษัทและลูกค้าเป้าหมายใน 5 ปี ธนาคารได้ดึงดูดลูกค้ามากกว่า 3.5 ล้านราย การเติบโตนี้อธิบายได้บางส่วนจากความพยายามของธนาคารที่จะสร้างแบรนด์ ING DIRECT 1/3 ของงบประมาณจัดสรรไปสู่โปรแกรมการตลาด ลูกค้าหลายคนถูกดึงดูดด้วยการประสมประสานของอัตราผลตอบแทนและ

แบรนด์ การรณรงค์ด้านการตลาดของบริษัท สร้างแบรนด์ที่แตกต่างและ “การไม่เป็นธนาคาร” พวกเขามีข้อความที่ง่ายชัดเจน และสีส้มสว่างที่จับความสนใจของลูกค้าด้วยคำพูด ขำขัน รูป 6 แสดงการโฆษณากลางแจ้งของบริษัทที่ใช้ในปี 2006 แคมเปญบางอันถูกปรับสู่ลูกค้าเป้าหมายในท้องถิ่น (ดูรูป 7 ) (รูป 8 แสดงแคมเปญการตลาดของบริษัทในประเทศอื่น ๆ ) จุดประสงค์ของ guerrilla market ชัดเจน ตามคำพูดของ ARDADI “ผู้คนหลับใหล คุณต้องช๊อกเขาเล็กน้อยด้วยการทำให้ติดต่างเกี่ยวกับการบริหารเงิน เราเลยปลุกเขาด้วยแคมเปญการตลาด พวกเขาสลับเปลี่ยนเงินและกลับไปนอนต่อ”

ING DIRECT ไม่ได้จำกัดตัวเองที่แคมเปญการตลาดเกินไป ธนาคารยังมีแคมเปญส่งเสริมการตลาด เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ แคมเปญ “ฝากเงินที่โรงภาพยนตร์” ดึงดูด ผู้เก็งกำไรจำนวนมากและสาธารณชนในหนังสือพิมพ์ ในมัลติมอร์และวอชิงตัน ดีซี ING DIRECT ทำความประหลาดใจให้คน 8,000 คน ด้วยการดูหนังฟรีที่ Regal cinemas. บริษัทให้น้ำมันกับผู้ขับรถยนต์ 1,000 คน ในปั้มเวลที่บัลติมอร์ และขอให้พวกเขาใส่เงินในบัญชีสีส้ม ภายใน 3 ชม. มีรถมาเข้าคิวมากกว่า 6 กม. ING DIRECT ยังยอมให้คนเดินทางใช้เส้นทาง T ในบอสตัน ฟรี 1 วัน ในขณะที่พนักงานของ ING DIRECT เต้นรำรอบ ๆ ในชุดสีส้ม นี่คือความพยายามในการปลุกผู้คน

ลักษณะของกลยุทธ์การตลาดที่ไม่ธรรมดาของ ING DIRECT คือ ING DIRECT Café’ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศเป้าหมาย เช่น New York} Washington, ฟิลาเดลเฟีย, ลอสแองเจิลลิส ซึ่งไม่ใช่ตัวแทนของสาขา แต่เป็นการแนะนำลูกค้าเข้าสู่แบรนด์ เมื่อบริษัทเริ่มการตลาด และการดำเนินงานในแคนาดา กลุ่มเป้าหมายยังสงสัยเกี่ยวกับแบรนด์ใหม่ ดังนั้นเขาเริ่มเข้ามาที่คอลเซ็นเตอร์ในโตรอนโต เพื่อตรวจสอบธนาคารใหม่ว่ามีจริงหรือไม่ พนักงานจาก ING DIRECT แคนาดา เสิร์ฟกาแฟให้เขาที่มุมกาแฟของ Call center นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ idea ARKADI ทำให้ผู้จัดการของ Amsterdam เชื่อมั่นในการเปิดร้านกาแฟ ขณะนี้ Café’ กลายเป็นองค์ประกอบทั่วไปของกลยุทธ์การตลาดของบริษัทไปแล้ว รูป 9 แสดงร้านกาแฟของบริษัท

ร้านกาแฟทำให้ภาพลักษณ์ของ ING DIRECT ไม่ใช่ธนาคารทั่วไป พวกเขาได้ให้ที่แก่ลูกค้าได้เข้ามาคุยกับสมาชิกของ ING DIRECT แต่ละคนเป็นนักธนาคารที่ได้รับการอบรมและมีประสบการณ์ด้านแบรนด์ที่ง่าย ในขณะที่เสิร์ฟกาแฟ – สตาฟร้านกาแฟ – เรียกว่า Sale Associates - สามารถพูดเรื่องผลิตภัณฑ์ทางการเงินหรือช่วยตรวจสอบข้อมูล Online การตอกย้ำแบรนด์ กาแฟถูกกว่ากาแฟที่สตาร์บัค และการใช้ Internet ก็ฟรี

“ เราเชื่อว่าการออมเงินง่ายเท่ากับการได้รับกาแฟ 1 ถ้วย ดังนั้นเราจึงเชื้อเชิญคุณให้มา และมีประสบการณ์สดชื่นจากการจิบลาเต้ เล่นอินเตอร์เน็ตฟรี และคุยกับเราว่าจะช่วยคุณประหยัดเงินได้อย่างไร



การบริหารองค์กรที่เป็นพวกนอกรีต (แหวกแนว)

สังเกตได้ว่าร้าน Café’ ช่วยสร้างแบรนด์ แต่มันก็ต้องการมากกว่ากาแฟเพื่อบรรลุรายได้ และกำไร เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่แหวกแนวคือ Well - Oiled Machine ที่ออกแบบมาจัดการกับผลิตภัณฑ์ ที่มีจำนวนมาก แต่กำไรต่ำ รูป 10 แสดง องค์ประกอบสำคัญของการดำเนินกลยุทธ์ขององค์กร แม้ว่าความสนใจที่มีนัยสำคัญถูกจ่ายเพื่อให้เข้าใจความต้องการและเพิ่มรายได้ ความท้าทายยังเกี่ยวข้องกับการควบคุมค่าใช้จ่ายและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่า ธนาคารทั่วไปในสหรัฐดำเนินการที่ Margin 250 basis points (2.50 percentage points) ING DIRECT อยู่ที่ 175 Basic points บริษัทสามารถดำเนินการที่ต้นทุนที่ต่ำกว่าโดยใช้ทั้งหน้าและหลัง Office



การบริหาร Front และ Back office

ส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งของโครงสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่ามาจากสิ่งที่ไม่ได้เสนอให้ และที่ซึ่งไม่ต้องลงทุน บริษัทไม่ได้ลงทุนเครือข่าย ATM หรือขายสาขา บริษัทกระตุ้นให้ลูกค้าเปิดบัญชี Online หรือใช้ระบบเสียงตอบรับโปรแกรม การบริการ Online ด้านบัญชีและการจำนองได้ตัดค่าใช้จ่ายออกไป ค่าใช้จ่ายที่ได้กลับมาของบริษัทประมาณต่ำกว่า 100 เหรียญ Jim Kelly, หัวหน้าด้านการตลาดของ ING DIRECT “มันเป็นธรรมดาสำหรับธนาคารที่จะได้ค่าใช้จ่ายกลับมาประมาณ 300 – 400 เหรียญ” ค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาก็ต่ำด้วย ดังคำกล่าวของ ARDADI

“ถ้าคุณไม่มีกิจกรรมใด ๆ ใน 1 เดือน เราจะไม่ส่ง Statement ให้คุณ ลูกค้าบัญชีออมทรัพย์ที่ยืนยัน Statement ที่เป็นกระดาษควรได้กลับไปที่กระดาน”

บริษัทยังสื่อสารกับลูกค้าของเขาด้วยว่า จำนวนการโทรไปที่ศูนย์ Call center สูง ๆ นำไปสู่ค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าหรืออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ดังนั้น ลูกค้าควรจะเข้าใจว่าทำไม ING DIRECT ไม่สนับสนุนให้โทรไปที่ Call Center เพื่อไปสนับสนุนการใช้โอเปอร์เรเตอร์ ลูกค้าที่โทรบ่อย ๆ จะถูกจับไปไว้ในท้ายสุดของคิว

ลักษณะทั้งหมดนี้ทำให้การบริหาร ING มีกระบวนการแบบเข้มขวด กระบวนการทำเป็นเอกสาร และไกด์ไลน์จำนวนมาก และวิธีการมีไว้สำหรับกระบวนการหลักภายในองค์กร บริษัทยังคงยืนยันที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์และธุรกรรมทางการเงินง่าย และมีการใช้เครื่องมือ เช่น Lean, Six Sigma เพื่อให้บรรลุประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2004 ING DIRECT แคนาดา ชนะรางวัล Canadian Information Productivity Award of Excellence สำหรับโปรแกรมการจัดการ การจำนอง (Mortgage Application Processing Solution (MAPS) การแก้ปัญหานี้ (Solution) ทำให้ ING DIRECT สามารถทำให้กระบวนการของการจำนองง่ายขึ้น และ Solution นี้ยังนำไปใช้ในเรื่องอื่น ๆ ด้วย

การแบ่งปัน Best Practice (ภาคปฏิบัติที่ดี) และวัสดุเป็นเรื่องธรรมดาภายในหน่วยงานของ ING DIRECT เช่น ING ใช้แคมเปญการตลาดในทุกประเทศ ซึ่งมีการดำเนินงานและมีการใช้คอนเซปท์การตลาดอีก รวมทั้งกราฟฟิก ดีไซด์



เทคโนโลยีสารสนเทศ

ING DIRECT ได้ประโยชน์จากระบบสารสนเทศ “Legacy” ที่มี โดยเริ่มจาก Scratch (ข่วน) ซึ่งช่วยบริษัทดำเนินงานกับ IT ระดับสูงที่ค่าใช้จ่ายต่ำ ความท้าทายคือ การพัฒนา IT ให้ยืดหยุ่น

ซึ่งทำให้มี Brand Uniformity Across Borders แต่ยอมให้มีการปรับปรุงไปสู่กฎของธนาคารท้องถิ่น ING Direct ซื้อฮาร์ดแวร์ IT โดยส่วนกลาง ทำให้มีอำนาจการซื้อ และทำให้มันใช้ได้ในองค์กรของหลายประเทศสำหรับซอฟท์แวร์ กลยุทธ์ของบริษัทคือ “การใช้ซ้ำ” (จากบริษัทพี่น้อง) ก่อนซื้อ และซื้อก่อนสร้าง วิธีการนี้เพิ่มประหยัดเงินจำนวนมาก และในเวลาเดียวกันช่วยรับประกันการบริการระดับสูง และการเพิ่มขึ้นของบัญชี กลุ่ม IT ส่วนกลาง พัฒนา และรักษานโยบาย IT และมาตรฐานข้ามบริษัท และทำงานกับหลายๆ ประเทศ เพื่อ Update และพัฒนาระบบ ING Direct ยังคงพยายามมี Department ที่แตกต่างกันในการติดต่อย่างใกล้ชิดระหว่างกัน การไหลของกระบวนการถูกกำหนด เพื่อองค์กรโดยรวมและรับผิดชอบทุกกระบวนการจาก Department ต่างๆ อย่างต่อเนื่องกระบวนการ Streamlining คือองค์ประกอบหลักในโครงสร้างธุรกิจของ ING Direct และกระบวนการธุรกิจแบบ Orientation คือองค์ประกอบจำเป็น Arhad : กล่าวว่า “เราวางการตลาดและ IT Department ของเราไว้ในพื้นที่หนึ่ง ถ้าความสามารถหลักของคุณเป็นการตลาดและ IT คุณต้องทำทั้ง 2 อย่างด้วยกัน”



การพัฒนาผลิตภัณฑ์

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ถูกทำขึ้นด้วยการประสานงานที่ใกล้ชิดกันของการตลาดกับ IT ในการพัฒนาและแนะนำผลิตภัณฑ์ หน่วยของประเทศจะต้องพัฒนาแผนธุรกิจเป็นอันดับแรก ซึ่งต้องรวมการพยากรณ์ความต้องการและค่าใช้จ่ายด้านการตลาด แผนงานต้องมีการประเมินความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน , การเงินและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการออกผลิตภัณฑ์ และได้กำหนดอย่างชัดเจน เกี่ยวกับความต้องการด้าน IT และการดำเนินการที่จำเป็น ในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ อุปสรรคสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่จะสูง Brunon Bartkiewicz ( ผู้จัดการคนก่อนของ ING Direct ปัจจุบันเป็นหัวหน้า ING ในประเทศโปแลนด์ ) กล่าวว่า “ทุกผลิตภัณฑ์ใหม่จะลดความง่ายของเรา , เพิ่มความเสี่ยง และลดการโฟกัสของคนเรา คนๆ หนึ่ง ที่ทำงานตลาดผลิตภัณฑ์ 7 ตัว ไม่สามารถรู้รายละเอียดทั้งหมด , ทุกโครงร่าง , ทุกตรรกะ เท่ากับที่โฟกัสในผลิตภัณฑ์เดียว ในที่สุด เกมทั้งหมดคือประสิทธิภาพ : ประสิทธิภาพในการตลาดในการดำเนินงานในระบบ



การวัดผลการดำเนินงาน

องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างของโมเดลธุรกิจของ ING Direct คือ การวัดผล ว่าคนมีปฎิกริยาต่อแคมเปญการโฆษณา online อย่างไร

แต่การวัดผลการทำงานของ ING Direct ไม่ได้หยุดที่ฝ่ายการตลาด ศูนย์การดำเนินงานของบริษัท แข่งขันระหว่างกันเพื่อการจำได้ และโบนัสรายเดือนขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาที่จะไปถึงเป้าการขายและบริการ ทุกคนใน ING Direct วัดและถูกวัด การวัดผลบางอันถูก Post ทุกวันบน Internet และสามารถเข้าถึงได้ทุกคนภายในบริษัท การวัดผลการดำเนินงานถูกวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องและเป็น Input สำหรับแผนปฏิบัติการ ซึ่งทำให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่และกระบวนการ

การวัดการดำเนินงานทั้งหมด มีผลกระทบโดยตรงต่อเป้าหมายระดับสูง 5 ระดับ ของบริษัท ซึ่งก็คือ 1) กำไรโดยรวม 2) ค่าใช้จ่ายที่ไปเป็นการตลาด / สินทรัพย์สุดท้าย 3) การเติบโตของ net retail fund entrusted (อยู่ในงบดุล) 4) การเติบโตของการจำนองสุทธิ 5) ระดับการบริการของ Call Center

ประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านต้นทุนถูกติดตามอย่างระมัดระวัง รูป 11 แสดงวิวัฒนาการของค่าใช้จ่ายดำเนินงานของ ING Direct (ทุกประเทศ) จากปี ค.ศ. 1999 – เดือนมีนาคม 2006 เราสามารถมองเห็นได้ว่าอัตราค่าใช้จ่ายต่อสินทรัพย์ (ไม่รวมค่าใช้จ่ายการตลาด) สำหรับ ING Direct (ทุกประเทศ) ลดลงจาก 96 basis point ในปี 2001 เป็น 40 basis point ในปี 2006 แบงค์โดยทั่วไปมีค่าใช้จ่ายต่อทรัพย์สินที่ประมาณ 250 basis point ในทางเดียวกันทรัพย์สินทั้งหมดต่อพนักงานคือ 48 ล้านเหรียญ ในขณะที่แบงค์อื่นๆ มีค่าเฉลี่ยที่ 5 – 6 ล้านเหรียญต่อพนักงาน ซึ่งน่าประทับใจ แต่ที่ประทับใจคือ ING Direct จัดโครงสร้างกระบวนการวัดผลอย่างไร ING Direct ใช้ spreadsheet ของโปรแกรม Excel ในการสร้างรายงานประจำปี ซึ่งสรุปผลการดำเนินงานของบริษัท จนกระทั่งการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ทำให้มีวิธีการวัดผลที่ดี ในปี 2004 บริษัทได้จ้างที่ปรึกษาซึ่งมาช่วยจัดทำระบบการวัดผลงานการ generate enterprise-wide, ข้อมูลการบริหารงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะควบคุมการเติบโตของบริษัทในอนาคต การรายงานที่มีพลัง และเครื่องมือวิเคราะห์ช่วยโอกาสที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายต่อไป และสามารถมองเห็นการดำเนินงานหลักในเชิงลึก นอกจากนี้ ระบบการวัดผลยังทำให้บริษัทสามารถวัดประสิทธิผลของแคมเปญการตลาดเพื่อติดตามและเปิดเผยความเสี่ยง และมีความเข้าใจมากขึ้น เกี่ยวกับลูกค้าใหม่และลูกค้าที่มีอยู่ Arkadi เห็นด้วยว่า ING Direct มีประสิทธิภาพในการหาลูกค้ามาได้ และมีค่าใช้จ่ายต่ำ เนื่องจากการนำระบบการวัดผลแบบใหม่มาใช้



ความเป็นผู้นำ,คนและวัฒนธรรม

สิ่งที่แยก ING, ออกจากคู่แข่งคือคน คุณไม่สามารถเป็นพวกแหวกแนวได้ ถ้าคุณมีพวกหัวเก่าในองค์กร นั่นคือ ทำไม ING, พยายามจ้างคนที่ไม่ได้มาจากธนาคารใหญ่ สำหรับหน้าที่ด้านการบริหารความเสี่ยง การบริหาร ด้านทรัพย์สิน หรือภาระหนี้สิน สินทรัพย์ถ้าเน้นที่บริษัทจ้างพนักงานที่มีแบรกกราวน์ด้านการธนาคาร แน่นอน ING, สามารถได้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของ ING, ในเรื่องของเทคนิต CEO Arhadi เองก็เป็น นายธนาคารที่มีประสบการณ์ด้านความรู้ลักของทุกหน้าที่หลักภายในธนาคาร แต่เขาก็ยังจัดตัวเองว่าเป็นคนนอก แม้แต่เป็นคนเลว ของอุตสาหกรรม “เมื่อส่วนที่เหลือของอุตสาหกรรมตัดสินใจเลี้ยวไปผมก็เลี้ยวมา” (ทำไม่ตรง) เขากล่าว และเขาก็มั่นใจว่าทั้งองค์กรจะเลี้ยว (ZigZag; ไม่ตรง) กับเขา

ตัว Athadi; เองเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมีแรงบันดาลใจ คุณจะไม่ได้ยินเขาพูดมากเกี่ยวกับการเงิน Arhadi อยู่ข้างนอก เพื่อภารกิจที่มีแรงบันดาลใจ และวิสัยทัศน์

“เรากำลังนำ ชาวอเมริกันกลับไปสู่การออม, ในทางใดทางหนึ่ง , บริษัทการเงินจะบอกให้คุณใช้จ่ายมาก ๆ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ”

ในทุก ๆ การสื่อสาร การโฟกัสอยู่ที่การออม นั่นคือทำไมเครดิตคาร์ด และบัญชีเช็ค จึงไม่อยู่ในบัญชีผลิตภัณฑ์

ทั้งหมดข้างต้น เป็นวิธีที่ Arhadi ส่งสารซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจ

“คุณไม่สามารถทำสิ่งที่มีความหมาย โดยปราศจากการชื่นชอบ และ idea ที่มีพลังเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ” ในสหรัฐ เขามีคน 1,300 คนช่วยเขา และที่สำคัญ พนักงานของ ING, เองถูกวางให้เป็น CEO ด้วยตัวเอง

ING, ใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่า ได้จ้างคนที่เต็มใจทำสิ่งที่แตกต่างจากอุตสาหกรรม และเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาด้วย คุณค่าเดียวกันที่บริษัทใช้ติดต่อกับลูกค้าของบริษัท บริษัทจ้างคนที่มีทัศนคติที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ง่าย และนำเข้าสู่วัฒนธรรมการขาย เพื่อการแข่งขัน แต่ทั้งหมด ผู้คนถูกเลือกบนพื้นฐานของคุณค่าของเขาเอง ที่เข้ากันได้กับคุณค่าของบริษัท ดังที่ Rich Perles หัวหน้าฝ่ายบุคคลของบริษัท กล่าวว่า

“ทุกคนไม่ว่าจะระดับใด เริ่มต้นที่โปรแกรมใหม่ ซึ่งโปรแกรมนี้เดิมทีมี 3 วัน แต่เราได้ขยายเป็น 5 วัน ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใหญ่ด้านคน และไม่ใช่ส่งที่บริษัทส่วนใหญ่ทำ พวกจ้างใหม่จะรับโทรศัพท์ลูกค้า ตลอด 5 วัน พวกเขาจะได้ยินมากมาย เกี่ยวดับวัฒนธรรม และสิ่งที่ ING, ยืนหยัดเพื่อ บางคนก็ไม่เห็นน้องด้วย แต่พวกเขาจะตระหนักถึงมันก่อนที่จะหมด 5 วัน”

“อีก 90 วัน คือ Maiden voyage ที่ซึ่งเราใช้เวลาอีก 1 สัปดาห์ หรือการเทรนด้านเทคนิคกับ sale cessciates ตลอด 90 วันแรก มีสิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก่อนจะกลับมาสู่ส่วนที่ 2 ของการอบรมพนักงานใหม่ กิจกรรมนี้รวมถึงการเป็นอาสาสมัครในชุมชน , การทำงานในร้านกาแฟของเรา และการอ่าน The Alchemist ของ Paolo Coelho”

คุณค่าและวัฒนธรรมไม่ใช่คอนเซปท์อุดมคติภายใน ING, Arhadi รู้ว่าลักษณะที่แตกต่างของบริษัทโดยรวมอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า “Orange Code” ซึ่งถูกกำหนดใน 13 ประโยค ที่พูดถึงส่งที่บริษัทเป็น และยืนหยัดเพื่อ Orange Code นำวิสัยทัศน์ไปสู่ชีวิต และให้เป้าหมายธรรมดาแก่พนักงาน ตัวอย่าง เช่น ประโยคหนึ่ง “เราจะอยู่เพื่อทุกคน” ในบริษัท วิสัยทัศน์ทำให้เป็นรูปธรรม ด้วยการเคลื่อนย้ายชื่อตำแหน่งและสำนักงานทุกคนในโปรแกรมโบนัส และระบบเมตริกเหมือนกันสำหรับทุกคน

กลยุทธ์การให้รางวัลก็เฉพาะเจาะจง พนักงานสามารถได้รับโบนัสที่ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานที่สัมพันธ์กับการเงิน ลูกค้า และเป้าหมายการดำเนินงานที่ดี โบนัสสามารถเพิ่มไปถึงครึ่งของเงินเดือนประจำ น่าสนใจเพียงพอ , เงินเดือนของพนักงานก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม แม้ว่าต้นทุน , บริษัทภูมิใจตัวเองในการจ่ายที่ 75% หรือสูงกว่า บางทีนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำไมการสำรวจพนักงาน 99 % จึงบอกว่าภูมิใจที่บอกว่า เขาเป็นส่วนหนึ่งของ ING Direct อย่างไรก็ตามการสำรวจชี้ว่า ทัศนคติทางบวกของพนักงานอยู่บนนั้นฐานของเรื่องอื่น ๆ มากกว่านโยบายการให้รางวัล พนักงานมองว่า ING, เป็นผู้จ้างที่ดึงดูดใจสำหรับความแข็งแกร่งของรูปแบบธุรกิจ และวัฒนธรรมแบบไม่ใช่ธนาคาร ING, เป็นองค์กรแบบร้ายที่มีชั้นการบริหารน้อย และพนักงานสามารถใส่ input ในหลาย ๆ แผนปฎิบัติการที่บริษัทจัดทำขึ้นได้ Arhadi อธิบายดังนี้ “ผมมั่นใจว่า ผู้จัดการได้บอกให้รู้ว่าพนักงานต้องทำอะไร แต่ไม่ได้บอกว่าอย่างไร นี่คือจุดเริ่มต้นสำหรับ การให้อำนาจจริง ๆ”

การเติบโตของบริษัท และการสนับสนุนของ กลุ่ม ING เป็นพลังขับอีกทางหนึ่งสำหรับพนักงานที่จะช่วยเติมเต็มเป้าหมายของ ING DIRECT

Orange Cade ก็ทำให้มั่นใจว่า พนักงานจะไม่พอใจกับตัวเองมากเกินไป หนึ่งในประโยคหนึ่งมีดังนี้” เราไม่ใช่ผู้มีชัย เราเป็นผู้บุกเบิก เราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำลาย เราอยู่เพื่อสร้างสรรค์”



ความท้าทาย

การตลาดถูกสร้างและ ING Direct ได้พัฒนาตำแหน่งที่น่าดึงดูดใจในตลาด แต่ความสำเร็จที่ง่ายของ online saving bank ก็ดึงดูด newcomers อื่นๆ Metlife ออก Internet bank ในปลายปี 2002 และโปรโมทอัตราดอกเบี้ยสูงอย่างหนัก และในปี 2006 HSBC ให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า ING Direct แบงค์อื่นๆ ก็ตามมาในไม่ช้า

Arkadi รู้ว่า เขาจะต้องเผชิญกับคู่แข่งที่ท้าทายในอนาคต ในเวลาเดียวกัน ความสำเร็จของบริษัทก็สร้างความคาดหวังสูง เกี่ยวกับศักยภาพทางการเงิน ของรูปแบบธุรกิจของมันเอง คำถามหลักของทีมบริหารคือ บริษัทจะรักษาการเติบโตนี้ได้อย่างไร ผลิตภัณฑ์ใดที่บริษัทควรนำเข้ามา และควรเข้าไปในตลาดใด

บริษัทวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าปรารถนาอย่างระมัดระวัง บนเส้นทางของปรัชญาของบริษัท การเสนอให้ถูกทำขึ้นด้วยความเห็นพ้องของลูกค้า แต่มีลูกค้าจำนวนน้อยที่เข้ามาอยู่ในโปรแกรมการตลาดแบบยินยอม บริษัทควรจะเพิ่มความพยายามทำ Cross – sell ให้มากขึ้นหรือไม่ ?

ING Direct ยังต้องบริหารความท้าทายของ Internet ด้วย อย่างหนึ่งคือจะรับมือการเติบโตที่บริษัทมีประสบการณ์อย่างไร ลูกค้ามากขึ้นหมายถึง ความกดดันที่เพิ่มขึ้นในระบบและกระบวนการ ในอุตสาหกรรมธนาคาร ขนาดมักจะหมายถึงการไม่ประหยัดด้านขนาด นอกจากนี้ บริษัทจะหาพนักงานที่รับวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์นี้ได้หรือไม่ การบริหารวัฒนธรรมแบบนี้จะง่ายกว่าถ้าหากบริษัทเล็ก แต่ความท้าทายมากขึ้นเมื่อบริษัทโต

หนึ่งในความท้าทายภายในเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ซึ่ง ING Direct มีกับองค์กรแม่คือ ING Group กลุ่ม ING รู้กันว่าเป็นกลุ่มการบริการการเงินแบบรวม ที่รวมระหว่างธนาคาร , การประกัน และ การลงทุนข้ามประเทศ แต่ Arkadi มักจะสามารถจำกัดการเข้าร่วมของ ING Direct ในโปรแกรม “Mandated Synegies” ที่เขามักจะเรียกว่า “low hanging fruit” ING Direct จะช่วยให้ได้ประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างบริษัทพี่น้อง แต่ไม่ใช่ทุกค่าใช้จ่าย ผลประโยชน์ของการบริหารด้วยสถานะนี้จะอยู่อีกนานเท่าใด และจะเป็นอย่างไรหาก ING Direct กลายเป็นการรวมกันภายในธุรกิจของ ING เอง

หนึ่งใน Synergy เหล่านั้น คือ การรวมการพัฒนาแบรนด์ บริษัทได้ว่างตำแหน่งตัวเองเป็นผู้แหวกแนวในอุตสาหกรรมธนาคาร แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็อยู่ในแบรนด์ของสถาบันการเงินที่เป็นที่เคารพและอยู่ในแบบแผน นั้นคือ ING ยิ่ง ING Direct สนับสนุนให้กำไรของ ING เพิ่ม การกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็ยิ่งมาก

ธนาคารไปรษณีย์

เมื่อเร็วๆ นี้ มีการพูดกันมากเรื่องการจัดตั้งธนาคารไปรษณีย์ขึ้น เพื่อให้ประชาชนระดับล่าง รวมถึงในชนบท ได้รับบริการทางการเงินอย่างกว้างขวาง

ตั้งธนาคารไปรษณีย์แล้วจะดีจริงหรือไม่?

เพื่อตอบคำถามนี้ คงต้องดูจากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า แนวคิดเรื่องธนาคารไปรษณีย์ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศได้จัดตั้งธนาคารไปรษณีย์ขึ้นมา โดยประเทศแรกคืออังกฤษ ซึ่งเริ่มในปี 1861 หรือกว่า 150 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีที่ ญี่ปุ่น เยอรมัน ออสเตรีย ฝรั่งเศส กรีซ แอฟริกาใต้ บราซิล เกาหลี จีน อินเดีย ฟิลิปินส์ เป็นต้น

ความได้เปรียบของระบบไปรษณีย์ในการให้บริการทางการเงิน ก็คือ เครือข่ายที่กว้างขวาง โดยมีสาขาไปรษณีย์ บรุษไปรษณีย์ให้บริการในทุกพื้นที่ อีกทั้งประชาชนคุ้นเคยกับการโอนเงินผ่านธนาณัติหรือตั๋วแลกเงินไปรษณีย์อยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับระบบธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่มีสาขาจำกัด สาขาส่วนมากอยู่ในเมืองหรืออำเภอใหญ่ ธนาคารไปรษณีย์จึงเป็นอีกช่องทางที่จะช่วยให้ประชาชนอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในชนบท ให้ได้รับบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง

ไม่น่าแปลกใจว่า ธนาคารไปรษณีย์จึงเป็นที่นิยมของประชาชนในประเทศต่างๆ ในญี่ปุ่น มีบัญชีเงินฝากในธนาคารไปรษณีย์มากกว่า 100 ล้านบัญชี อินเดีย 116 ล้านบัญชี จีน 104 ล้านบัญชี เยอรมัน 19 ล้านบัญชี

อย่างไรก็ตาม การเปิดธนาคารไปรษณีย์มีความท้าทายสำคัญหลายด้าน คือ
1. ทำอย่างไรจึงจะคุ้มทุนและมีกำไร ดูแลให้ต้นทุนจากการให้บริการการเงินทั้งเงินฝากและกู้กับประชาชน ที่ขนาดของบัญชีและเงินกู้จะไม่สูงมากนัก ตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่าหากสามารถตอบโจทย์นี้ได้ โดย (1) มีแนวทางที่จะลดต้นทุนของการให้บริการ ซึ่งอาจใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย รวมถึง (2) การที่จะมีรายได้ที่เพียงพอ จากการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องมากกว่าสถาบันการเงินโดยปกติทั่วไป เช่น 1% ต่อเดือน (ซึ่งยังถูกกว่าการกู้หนี้นอกระบบมาก) ธนาคารไปรษณีย์จึงจะมีกำไร ที่จะทำให้ยืนอยู่บนขาของตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งงบประมาณของภาครัฐ สามารถขยายกิจการไปอย่างกว้างขวาง ดำเนินการได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. จะทำอะไรก่อนหลังระหว่างเงินฝาก และเงินกู้ หัวใจสำคัญของการเป็นธนาคาร คือ การรู้จักเลือกว่าจะปล่อยกู้ให้ใคร เพราะถ้าระบบปล่อยสินเชื่อไม่ดี สินเชื่อที่ออกไปก็อาจไม่กลับมา กลายเป็นการแจกเงินเพื่อการกุศล และเป็นหนี้เสียให้ต้องตามไปแก้ไขในภายหลัง ซึ่งบทเรียนจากแบงก์คนจนในต่างประเทศพบว่า เราสามารถสร้างระบบการปล่อยสินเชื่อที่ดีให้สำหรับลูกค้าในระดับล่างได้ โดยลำดับแรก ต้องเริ่มจากการให้ลูกค้ารู้จักอดออม มีบัญชีเงินฝากก่อน พอออมได้สักพัก จึงสามารถที่จะขอกู้ได้ แต่ในขั้นนี้จะต้องมีลูกค้าของธนาคาร 2-3 ราย มาช่วยค้ำประกันว่า เป็นบุคคลน่าเชื่อถือ ควรได้รับสินเชื่อ และผู้ค้ำพร้อมช่วยจ่ายเงินคืนให้ธนาคารหากมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งการคัดกรองลูกค้าในลักษณะนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเราต้องการช่วยสร้างอาชีพ ช่วยให้เขายืนอยู่บนขาของตนเองได้ สร้างรายได้ นำเงินมาคืนได้ ก็ต้องค่อยๆ ปล่อยสินเชื่อ โดยมีระบบคัดกรองที่ดี หากมุ่งแต่การปล่อยสินเชื่อออกไปแต่อย่างเดียว เช่นเดียวกับกรณีของกองทุนหมู่บ้าน ก็จะกลายเป็นการสร้างหนี้เกินตัวให้กับคนระดับล่างในระบบอีก
3. เมื่อมีเงินฝากเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะทำอะไรกับเงินดังกล่าว ธนาคารไปรษณีย์บางแห่งเช่นในญี่ปุ่นประสบความสำเร็จมาก มีเงินฝากล้นจนไม่รู้จะไปปล่อยที่ไหน ท้ายสุดกลายเป็นช่องทางให้รัฐบาลนำไปเป็นเงินทุนสำหรับโครงการต่างๆ ของรัฐ (บางโครงการก็ไม่ได้เป็นโครงการที่ดีนัก) ท้ายสุดก็กลายเป็นหนี้เสียได้ ตรงนี้ เราจึงต้องวางระบบป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนต้น ไม่ให้ธนาคารไปรษณีย์กลายเป็นช่องหาเงินให้กับโครงการที่ไม่ดีของรัฐบาล โดยมีกระบวนการปล่อยสินเชื่อที่มีมาตรฐาน และไม่น่าแปลกใจว่า ในช่วงหลังๆ เพื่อตัดความเชื่อมโยงนี้ออกไป ธนาคารไปรษณีย์ของบางประเทศจึงเริ่มเข้าสู่กระบวนการแปรรูป โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น บางแห่งก็เลิกไปเช่นที่ สหรัฐ ออสเตรีย โปรตุเกส เป็นต้น

กล่าวได้ว่า ธนาคารไปรษณีย์ เป็นก้าวหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งของไทย แต่ก็คงต้องทำด้วยความระมัดระวังเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้แต่ต้น คือการเป็นกลไกในการออมและกระจายสินเชื่อไปยังประชาชนในระดับล่างได้อย่างทั่วถึง ยั่งยืน และสร้างความพอเพียงให้เกิดกับชีวิตของทุกคน ก็ขอเอาใจช่วยครับ

จับทิศ Housing Finance สหรัฐในทศวรรษหน้า

ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารความเสี่ยงและการเงิน boontham.r@ku.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สอดคล้องกับที่ ดร. อลัน กรีนสแปน ฟันธงว่าปัจจัยเสี่ยงสูงสุดของเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลของนายบารัก โอบามา ได้จัดสัมมนาครั้งใหญ่ช่วยกันระดมความคิดจากบรรดากูรู ด้าน Housing Finance เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับอนาคตของระบบการเงินด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงาน Fannie Mae และ Freddie Mac ที่ได้ใช้เงินภาษีของประชาชนกว่า 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ แม้ว่าบทสรุปจากการประชุมดังกล่าวยังมิสามารถชี้ชัดได้ว่าโครงสร้างของ Housing Finance สหรัฐในทศวรรษหน้า จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้มีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ตามระดับความเกี่ยวข้องของภาครัฐจากมากไปน้อย

รูปแบบแรก คือ ยุบทั้งหน่วยงาน Fannie Mae และ Freddie Mac แล้วให้รัฐบาลตั้งหน่วยงานที่ถือหุ้นโดยภาครัฐทั้งหมด หรือ Full Nationalization ซึ่งเป็นแนวคิดของนายวิลเลียม กรอส กรรมการผู้จัดการ Pacific Investment Management Co. (PIMCO) บริษัทที่บริหารพอร์ตกองทุนรวมรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ นายกรอส ให้เหตุผลคล้ายๆ กับนายกรีนสแปนว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด ซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิด double dip crisis ได้ คือ การร่วงลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ จากรูปที่ 1 จะเห็นได้ว่า หากปัจจัยดังกล่าวลุกลามไปถึงวิกฤติแบงก์แล้วละก็ ความรุนแรงจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ นายกรอสจึงสรุปว่าภาคการเงินด้านอสังหาริมทรัพย์สำคัญเกินกว่าที่รัฐบาลสหรัฐ จะปล่อยให้อยู่ในมือของภาคเอกชน

รูปแบบที่สอง เป็นการร่วมมือกันของภาครัฐและเอกชนในลักษณะ Public and Private Funds ภายใต้แนวคิดของนายทิมโมธี ไกธ์เนอร์ ซึ่งคล้ายกับแนวปฏิบัติที่นายไกธ์เนอร์เคยใช้ตอนบริหารหลักทรัพย์ที่เป็นพิษในสถาบันการเงินต่างๆ หรือ Legacy Securities เมื่อต้นปีที่แล้ว โดยแนวทางดังกล่าวจะเริ่มต้นจากกระทรวงการคลังคัดเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบริการทางการเงินด้านที่อยู่อาศัยดังกล่าวร่วมและแทนภาครัฐ หลังจากนั้น กระทรวงการคลังจะออกเงินก้นถุง หรือส่วนของทุนให้ 1,000 ล้านดอลลาร์ และผู้ให้บริการทางการเงินที่ได้รับการคัดเลือกดังกล่าวออกอีก 1,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลืออีก 2,000 ล้านดอลลาร์ กระทรวงการคลังจะยืมเงินให้กับผู้ให้บริการดังกล่าว จากนั้นหน่วยงานดังกล่าวจะใช้เงิน 4,000 ล้านดอลลาร์ ที่ว่าเป็นแหล่งเงินทุนในการปล่อยสินเชื่อด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งแน่นอนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ให้ประชาชนกู้ยืม ย่อมจะต้องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาด เนื่องจากภาครัฐได้ช่วยเหลือเงินทุนส่วนหนึ่งจากต้นทุนทางการเงินทั้งหมด

รูปแบบสุดท้าย จะปล่อยให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบอิสระ แต่รูปแบบของธนาคารจะเปลี่ยนไปแบบพลิกโฉม ซึ่งแนวคิดนี้ แยกออกเป็น 2 รูปแบบย่อย ได้แก่ หนึ่ง ให้ฝั่งหนี้สินและทุนในงบดุลของธนาคารมีเฉพาะส่วนทุน (Equity) โดยไม่มีหนี้สิน และ สอง แยกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและหนี้สินส่วนที่เป็นเงินฝากรายย่อยออก และตั้งเป็นธนาคารที่ไม่มีความเสี่ยง สำหรับงบดุลส่วนที่เหลือให้กลายเป็นธนาคารแบบ Commercial Banking หรือที่เรียกกันว่า Utility/Casino Model ซึ่งแนวคิดนี้มาจากนักทฤษฎีชื่อดังหลายท่าน อาทิเช่น ดร. จอห์น เคย์ แห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

หลายท่านคงเห็นคล้ายกับผมว่า สำหรับระบบการเงินในรูปแบบสุดท้าย ยังต้องมีการทบทวนกันอีกหลายรอบกว่าที่จะสามารถใช้งานได้ในโลกธุรกิจจริง ที่สำคัญ ในขณะนี้ และอนาคตอันใกล้ ธนาคารกลางสหรัฐกำลังเร่งปรับปรุงกฎเกณฑ์ของการปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนในลักษณะที่การยึดหลักประกัน (Foreclosure) จะทำได้ลำบากขึ้น เนื่องจากการยึดหลักประกัน นับเป็นภาระทั้งในมิติเศรษฐกิจของประเทศและการเมืองของรัฐบาล เป็นเหตุให้ผู้กู้เงินหรือประชาชนจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่า ธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยย่อมไม่เป็นที่ดึงดูดของสถาบันการเงินอีกต่อไป พฤติกรรมนี้เห็นได้ชัดจากรูปที่ 2 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มของประเภทสินเชื่อที่ระบบธนาคารในอังกฤษปล่อยให้สำหรับการบริโภคของภาคครัวเรือน และการลงทุนของภาคธุรกิจขนาดเล็กในช่วง 30 กว่าปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าในระยะยาว ธนาคารต่างๆ จะเน้นทำธุรกิจในภาคธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด แม้ภาคดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดการลงทุนที่มีประสิทธิภาพก็ตามที

ผมคิดว่าท้ายสุดรูปแบบของ Housing Finance สหรัฐในทศวรรษหน้าที่รัฐบาลของนายบารัก โอบามา ต้องเสนอต่อสภาคองเกรสในเดือนมกราคมปีหน้า จะออกมาในรูปแบบที่ว่าการให้บริการทางการเงินจะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ หนึ่ง สำหรับสินเชื่อรายเล็กมากๆ จะใช้หน่วยงานที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลทั้งหมดตามแนวคิดของนายกรอส เนื่องจากประชาชนที่มีรายได้น้อย อย่างไรเสีย ย่อมต้องได้รับบริการทางการเงินที่มีต้นทุนต่ำมากๆ ไว้ก่อน ซึ่งแน่นอนว่า ธุรกิจแบบ Public-Private Fund ตามแนวทางของนายไกธ์เนอร์ น่าจะยังไม่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ดีนัก เนื่องจากภาคธุรกิจที่ได้รับคัดเลือกมาทำหน้าที่ให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนย่อมต้องการระดับส่วนต่างกำไรตามสมควรให้กับธุรกิจของตนเอง และ ส่วนที่สอง หากสินเชื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นระดับหนึ่ง จำเป็นต้องหันมาใช้บริการของ Public-Private Fund ตามแนวคิดของนายไกธ์เนอร์ เนื่องจากลูกค้าซึ่งมีรายได้ปานกลาง โดยทั่วไปจะมีความรอบรู้ทางการเงินดีในระดับหนึ่ง การให้มีกลไกตลาดเข้ามาเป็นตัวกลางทางการเงินน่าจะเหมาะสมกว่า อย่างไรก็ตาม หากจะให้ภาครัฐทำการ Full Nationalization ทั้งหมดตามแนวทางแรก อาจจะเป็นภาระมากเกินไปสำหรับงบดุลของรัฐบาลสหรัฐที่ขาดดุลอยู่แบบบานเบอะในขณะนี้

สุดท้ายแล้ว Housing Finance สหรัฐในทศวรรษหน้า จะมีหน้าตาจริงๆ เป็นเช่นไร อีกทั้งความกังวลของนายกรีนสแปนจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กันครับ

คลังเล็งคลอดมาตรการหนุนประกันผู้สูงวัย

กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 06 กันยายน พ.ศ. 2553

คลังเตรียมคลอดมาตรการส่งเสริมการประกันภัยให้กับผู้สูงอายุ เพิ่มค่าลดหย่อนประกันแบบบำนาญเป็น 2 แสนบาท พร้อมออกพันธบัตรระยะยาว รองรับประกัน ในขณะที่คณะกรรมการตลาดทุน ยอมแก้ไขการหักรายจ่ายภาษีการตั้งสำรองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง หวังรองรับผู้สูงวัยที่จะมีมากขึ้นในอนาคต

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2553 สมาคมประกันชีวิตไทย ได้จัดสัมมนา เรื่องทางเลือกหลักประกันความมั่นคง เพื่อการดำรงชีวิตที่มั่นใจ วิกฤติผู้สูงอายุอะไรคือทางแก้ไข โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ทั้งภาครัฐและเอกชน

นายสุรศักดิ์ พิชิตผจงกิจ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายประกันภัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มีมาตรการส่งเสริมการประกันภัย ให้กับผู้สูงอายุโดยแบ่งออกเป็น 3 ข้อด้วยกัน คือ 1. ให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับกรมธรรม์แบบบำนาญ (Annuity) ความคืบหน้าขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ส่งเรื่องให้กับกรมสรรพากรพิจารณาแล้วว่าจะให้สิทธิลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของรายได้ หรือไม่เกิน 2 แสนบาท และไม่เกิน 5 แสนบาท เมื่อรวมกับมาตรการภาษี ในด้านมุมมองของ สศค.เห็นว่าเป็นมาตรการเฉพาะพิเศษที่รัฐบาลต้องให้การสนับสนุน

2. การออกพันธบัตรระยะยาว เพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจประกัน ความคืบหน้าในขณะนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน.กำลังอยู่ระหว่างพิจารณา ในส่วนของ สศค.นั้น มีมุมมองเห็นด้วยว่าควรออกพันธบัตรระยะยาว เพราะจะเกิด mutual benefit ระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนโดยเฉพาะเพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำลง 3. การคำนวณภาษี การตั้งเงินสำรองของบริษัทประกันภัย ในเรื่องนี้คณะกรรมการตลาดทุน ได้มีความเห็นชอบแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์การหักรายจ่ายภาษีตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยจากเดิม 65% โดยให้แก้ไขใหม่ให้มีความสอดคล้องกับความเป็นจริง

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมของผู้สูงอายุ โดยประมาณว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุของไทยจะเพิ่มเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่อัตราการเพิ่มของคนอยู่ที่ 0.5% ต่อปี แต่อัตราการเพิ่มของผู้สูงอายุเพิ่ม 3% ต่อปี อัตราการพึ่งพาระหว่างผู้ทำงานกับผู้สูงวัย ในปี 2543 อยู่ที่ 6 ต่อ 1 หมายความว่า คนทำงาน 6 คน ดูแลผู้สูงวัย 1 คน แต่ในปี 2570 อัตราส่วนระหว่างผู้ทำงานกับผู้สูงวัยจะลดลงเหลือ 2.4 ต่อ 1 หมายความว่า คนทำงาน 2.4 คน ดูแลผู้สูงวัยเพียง 1 คน เพราะสังคมไทยจะเป็นสังคมเดี่ยวมากขึ้น

จากการสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุของไทยหลังเกษียณอายุมีรายได้ เพียง 37% ของรายได้เดือนสุดท้าย ในขณะที่สัดส่วนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 50% ของรายได้เดือนสุดท้าย ปัจจุบันมีผู้มีเบี้ยยังชีพ ประมาณ 7 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเมื่อเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว จะต้องเจอกับค่าใช้จ่าย 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1. ค่าใช้จ่ายการกินการอยู่ ซึ่งปัญหาที่พบ คือ ผู้สูงวัยมีแหล่งรายได้สำรอง จากการที่ไม่ได้ทำงานเอาไว้เพียงพอหรือไม่ มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองหรือเปล่า 2 .ในด้านค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาล เกี่ยวกับการเจ็บป่วย ปัญหาที่พบ คือ สภาพร่างกาย และโรคที่เกิดขึ้นกับผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้น และ 3. ค่าใช้จ่ายพิเศษที่นอกเหนือจากบุคคลทั่วไป จะมีมากขึ้น เช่น การเดินทาง การซื้อของ

นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า หลักของกระทรวงการคลัง อยู่บนพื้นฐาน 3 ข้อด้วยกัน คือ 1. การกำกับประกันภัย 2. การดูแลการพัฒนาประกันภัยให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และ 3. เพิ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งกระทรวงการคลังมองว่า ประกันภัยในปัจจุบันมีโครงสร้างดีอยู่แล้ว เพราะ 1. เป็นเครื่องมือช่วยการดำรงชีวิตหลังเกษียณ เนื่องจากสร้างรายได้หลังเกษียณ ลดภาระค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ กำหนดเงินก้อน เมื่อครบกำหนด หรือ เมื่อทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตได้ 2. เป็นหลักประกันที่ดีในการลดความเสี่ยงภัยต่างๆ ได้ เพราะเงินได้แปรผันตามระดับภัยที่เกิดขึ้น ได้รับเงินเมื่อเกิดภัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลา และ 3. มีความหลากหลายของกรมธรรม์ในเชิงรูปแบบ และประกันภัย

นายพงษ์ภานุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า สังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะทำให้เศรษฐกิจโตน้อยลง มีผลต่อปัจจัยการผลิต มีผลต่อตลาดทุน เพราะมีคนออมลดลง และมีผลต่อการจัดเก็บรายได้ ภาษีของรัฐบาล ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลมีมากขึ้น เพราะต้องเข้ามาแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาล ขณะนี้ พบว่าระบบบำเหน็จ บำนาญ รัฐบาลต้องมีค่าใช้จ่ายปีละ 1 แสนล้านบาท ให้กับผู้รับบำนาญ และบำเหน็จจำนวน 3.2 แสนคน โดยไม่รวมเงินสมทบที่ต้องจ่ายให้กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในเบื้องต้นคาดว่าในปี 2560 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า จำนวนผู้รับบำเหน็จ บำนาญ จะเพิ่มเป็น 6.8 แสนคน ส่งผลให้รายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มเป็น 2-3 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ยังไม่รวมเม็ดเงินสมทบให้กับ กบข.และ สปส.อีก 5 หมื่นล้านบาท

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กฎหมายปฏิรูปภาคการเงินอเมริกัน :

คอลัมน์ การเงินปฏิวัติ โดย สฤณี อาชวานันทกุล www.fringer.org ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4233
หลังจากที่ผ่านการถกเถียงอย่างถึงพริกถึงขิงและก้นบึ้งของปรัชญาว่าด้วยทุนนิยมต่อเนื่องนานหลายเดือน ในที่สุดกฎหมายปฏิรูป ภาคการเงินอเมริกันที่มีชื่อยาวเหยียดว่า Dodd-Frank Wall Street Reform and Consumer Protection Act ย่อว่า "กฎหมายดอดด์-แฟรงค์" ก็ผ่านวุฒิสภา และลงนามบังคับใช้โดยประธานาธิบดี บารัก โอบามา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2010
กฎหมายฉบับนี้จะเป็นที่ถกเถียงไปอีกนานหลายปีว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่นำไปสู่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ได้จริงหรือไม่เพียงใด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่ารัฐต้องออกกฎระเบียบตามมาอีกหลายร้อยฉบับ ผู้นิยมทุนเสรีสุดขั้วประณามว่ากฎหมายฉบับนี้ เข้ามากำกับดูแลภาคการเงินมากเกินควรและบั่นทอนแรงจูงใจที่จะสร้างนวัตกรรมทางการเงิน ผู้ไม่นิยมทุนเถลิงอำนาจมองว่ากฎหมายนี้ไม่จัดการกับปัญหาที่รากสาเหตุ และประนีประนอมกับผู้เล่นรายใหญ่ในภาคการเงินมากเกินไป
ไม่ว่าผลลัพธ์โดยรวมจะออกมาเป็นอย่างไร (และกว่าเราจะมองออกจริง ๆ ก็ต้องรอให้บังคับใช้กฎหมายไปหลายปีก่อน) ประเด็นหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธคือ กฎหมายดอดด์-แฟรงค์เป็นกฎหมายเกี่ยวกับภาคการเงินที่สำคัญที่สุดในอเมริกา นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีใครตอบได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ดีหรือไม่ดี การวิเคราะห์และตั้งข้อสังเกต รวมทั้งสรุปข้อถกเถียงเกี่ยวกับสาระสำคัญของมันก็เป็นประโยชน์ เพราะให้ บทเรียนเรามากมายเกี่ยวกับความซับซ้อนของภาคการเงินยุคโลกาภิวัตน์ ชี้ให้เห็นความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมีบทบาทใน ตลาด และสะท้อนวิธีต่าง ๆ ที่รัฐมีบทบาท โดยที่แต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกัน
เนื้อหาของกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ แบ่งได้เป็นสี่ส่วนใหญ่ คือ อำนาจการกำกับดูแลและความเสี่ยงเชิงระบบ กฎเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน กฎเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดทุน และกลไกคุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงิน แต่ละส่วนมีสาระสำคัญและข้อถกเถียงที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ -
1.อำนาจการกำกับดูแลและความเสี่ยงเชิงระบบ
กฎหมายดอดด์-แฟรงค์มอบอำนาจใหม่หลายชนิดให้กับหน่วยงานรัฐ เช่น อำนาจในการเข้าควบคุมกิจการและชำระบัญชีของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาอย่างรุนแรงจนคุกคามเสถียรภาพของเศรษฐกิจอเมริกันทั้งระบบ โดยให้บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (Federal Deposit Insurance Corporation : FDIC) มีอำนาจเป็นผู้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสำหรับสถาบันการเงินที่เข้าข่ายนี้ โดยไม่ต้อง ผ่านขั้นตอนตามกฎหมายล้มละลายปกติ
กฎหมายฉบับนี้กำหนด "การบรรเทาความเสี่ยงเชิงระบบ" และ "การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน" ของประเทศ ให้เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สถาปนาองค์กรใหม่ชื่อ "สภาดูแลเสถียรภาพทางการเงิน" (Financial Stability Oversight Council) ขึ้นมาเพื่อติดตามดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ (systemic risk) ของภาคการเงินและ คอยนำเสนอนโยบายต่อธนาคารกลาง ประเด็นที่สำคัญคือ อำนาจของสภานี้จะครอบคลุมสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (non-bank financial institution) ด้วย เช่น บริษัทประกัน และบริษัทวาณิชธนกิจ
คำถามข้อสำคัญคือ บทบัญญัติที่ว่านี้ช่วยแก้ปัญหาการมีสถาบันการเงินที่ "ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้ม" (too big to fail) ได้หรือไม่ ประเด็นนี้เป็นปัญหาเพราะตราบใดที่มีสถาบันการเงินที่ทุกคนเชื่อว่ารัฐจะไม่ยอมปล่อยให้ล้ม ตลาดทุนโดยรวมก็จะมองว่า สถาบันการเงินเหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำ (เพราะรัฐจะอุ้มทันทีที่มีปัญหา) และดังนั้นสถาบันการเงินเหล่านี้ก็จะสามารถกู้เงินได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่ารายอื่น ทำให้มีแนวโน้มที่ธนาคารยักษ์ใหญ่จะยิ่งขยายขนาดมากกว่าเดิม กู้เงิน (ต้นทุนต่ำ) ไปทำธุรกรรมที่เสี่ยงกว่าเดิม เพิ่มความเสี่ยงเชิงระบบและตอกย้ำเหตุผลที่รัฐต้องอุ้ม กลายเป็นวงจร "จริยวิบัติ" (moral hazard) ที่ยากแก่การคลี่คลาย
ผู้เขียนเห็นด้วยกับนักวิเคราะห์ที่มองว่า กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ไม่ได้แก้ปัญหานี้อย่างตรงจุด วิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือบังคับให้สถาบันการเงินมีขนาดเล็กลง ดังเช่น ข้อเสนอของวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตสองคน คือ เชอร์ร็อด บราวน์ (Sherrod Brown) กับ เท็ด คอฟแมน (Ted Kaufman) ให้รัฐกำหนดไม่ให้ธนาคารใดธนาคารหนึ่งมีส่วนแบ่งเงินฝากเกินร้อยละ 10 ของเงินฝากทั้งระบบที่ รัฐค้ำประกัน จำกัดขนาดของหนี้สินที่ไม่ใช่เงินฝากของสถาบันการเงิน นอกจากนี้ร่างแรกของกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ที่ผ่านสภาล่าง ก็กำหนดเพดานอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของสถาบันการเงินไว้อย่างชัดเจนที่ 15 ต่อ 1 ก่อนที่จะถูกตีตกไปในสภาสูง
การระบุเพดานอย่างชัดเจนนั้นเป็นการมองแบบ "กันไว้ดีกว่าแก้" และในทางปฏิบัติก็เท่ากับบังคับให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ลดขนาดลงโดยปริยาย เพื่อป้องกันไม่ให้ความล้มเหลวของสถาบันใดสถาบันหนึ่ง สุ่มเสี่ยงที่จะลากระบบทั้งระบบลงเหวดังที่เกิดในปี 2008-2009 ไม่น่าแปลกใจที่ข้อเสนอทำนองนี้ถูกต่อต้านชนิดหัวชนฝาจากธนาคารยักษ์ใหญ่จนตกไป อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่ากฎหมายดอดด์-แฟรงค์จะไม่ยึดหลัก "กันไว้ดีกว่าแก้" ตรง ๆ อำนาจที่เพิ่มให้กับธนาคารกลางและบรรษัทประกันเงินฝากก็น่าจะช่วย "ตัดไฟแต่ต้นลม" ไม่ให้ความเสียหายจากสถาบันหนึ่งลุกลามเป็น ไฟลามทุ่งแบบที่เคยเกิดตอนที่เลห์แมนบราเธอร์ส ล้มละลายในปี 2008
กฎหมายดอดด์-แฟรงค์สะท้อนความโกรธแค้นของชาวอเมริกันที่เห็นรัฐนำเงินภาษีไปอุ้มสถาบันการเงินหลายแห่งอย่างชัดเจน มาตรา 212(a) ระบุว่า "รัฐจะต้องไม่ใช้เงินของผู้เสียภาษีในการป้องกันการชำระบัญชีของสถาบันการเงินใดก็ตาม" และย้ำอีกครั้งใน 212(c) ว่า "ผู้เสียภาษีจะต้องไม่ได้รับผลขาดทุนจากการใช้อำนาจใดก็ตามภายใต้กฎหมายฉบับนี้" นอกจากนี้กฎหมายก็ระบุอย่างชัดเจนว่าผลขาดทุน จากการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ล้มเหลวจะต้องตกเป็นของเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินดังกล่าว (ในปี 2008-2009 รัฐบาลสหรัฐถูกประณามอย่างหนักเพราะ ไปอุ้มด้วยการซื้อหุ้นของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา) แต่ก็ทำให้หลายคนวิตกอยู่ดีเพราะไม่ได้ระบุชัดเจนให้ใคร "กันเงิน" ที่จำเป็นต้องใช้ในการชำระบัญชีไว้ล่วงหน้า
กล่าวโดยสรุป กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ไม่ได้แก้ปัญหา "ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้ม" ที่รากสาเหตุก็จริง แต่อย่างน้อยก็มอบอำนาจให้หน่วยงานรัฐสามารถตัดไฟแต่ต้นลมเมื่อเกิดปัญหา เพื่อตีกรอบป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามและสังคมต้องแบกภาระต้นทุนอย่างที่แล้วมา อีกทั้งการระบุ เป้าหมายเชิงนโยบายเกี่ยวกับ "ความเสี่ยงเชิงระบบ" ก็น่าจะจุดประกายให้มีการออกแบบระบบสัญญาณเตือนภัยที่เหมาะสม จากที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครมองเห็นเค้าลางของวิกฤตเพราะไม่มีใครมีหน้าที่วัดหรือติดตามความเสี่ยงเชิงระบบ
2.กฎเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน
กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ขยับขยายอำนาจของธนาคารกลางให้สามารถกำกับสถาบันที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ แต่"ทำกิจกรรมด้านการเงิน" มากพอ อาทิ บริษัทประกัน และบริษัทวาณิชธนกิจ หัวใจของกฎหมายส่วนนี้คือ "กฎโวลเกอร์" (Volcker Rule) - ตั้งตามชื่อของพอล โวลเกอร์ (Paul Volcker) อดีตประธานธนาคารกลางที่เสนอเป็นคนแรก กฎโวลเกอร์ที่อยู่ในกฎหมายดอดด์-แฟรงค์กำหนดเพดานของเงินที่ธนาคารลงทุนในกองทุนเก็งกำไรระยะสั้น (เฮดจ์ฟันด์) และกองทุนร่วมลงทุน (private equity) ไว้ที่ร้อยละ 3 ของทุน นับว่าอ่อนลงจากข้อเสนอดั้งเดิมของโวลเกอร์ว่า กฎหมาย ไม่ควรอนุญาตให้ธนาคารลงทุนทุกชนิดที่มีความเสี่ยงสูงตั้งแต่แรก
ที่จริงกฎหมายดอดด์-แฟรงค์เปิดช่องให้รัฐมีอำนาจสั่งห้ามไม่ให้ธนาคารลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงด้วยเงินของตัวเอง (proprietary trading) เหมือนกัน แต่ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของหน่วยงานกำกับดูแล และให้ "สำนักงานความรับผิดภาครัฐ" (Government Accountability Office) ทำการศึกษาเรื่องนี้และส่งรายงานก่อน นับเป็นการประนีประนอมจากข้อเสนอของโวลเกอร์ที่นักวิเคราะห์บางคนเห็นด้วย เพราะการลงทุนเสี่ยงโดยเฉพาะในหลักทรัพย์ที่แปลงมาจากสินทรัพย์ (securitized) นั้นมีมากมายหลายรูปแบบ และหลายแบบก็เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าธนาคาร ไม่ได้เป็นแค่ช่องให้ธนาคาร เก็งกำไรฝ่ายเดียว
แน่นอนว่าภาพในอุดมคติที่ทุกคนอยากเห็นคือ หลักทรัพย์ความเสี่ยงสูงต่าง ๆ จะอยู่ในมือของนักลงทุนอย่างเช่น เฮดจ์ฟันด์ที่รับความเสี่ยงได้ หรือถ้าไม่ได้อย่างน้อยเวลาเจ๊งก็เจ๊งคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว ไม่ใช่ไปอยู่ในงบดุลของธนาคารขนาดใหญ่ที่ต้อง "รับผิดชอบต่อสังคม" ในฐานะสถาบันที่ดูแลเงินออมของประชาชนและจัดสรรทุนในระบบเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเพดานที่กฎหมายดอดด์-แฟรงค์กำหนดคือร้อยละ 3 ของทุนนั้นเป็นระดับที่ทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ "ขนหน้าแข้ง ไม่ร่วง" เพราะมีทุนมหาศาล แต่อย่างน้อยก็ต้องนับว่าการมีกฎข้อนี้ก็ดีกว่าไม่มี เราคงต้องรอดูว่ากฎหมายนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมของธนาคารเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน เพราะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าที่ผลการศึกษาและกฎระเบียบต่าง ๆ จะแล้วเสร็จ
ประเด็นหนึ่งที่นักวิเคราะห์เห็นพ้องต้องกันมากกว่ากฎโวลเกอร์ว่ากฎหมายดอดด์-แฟรงค์ ปฏิรูปในทางที่ถูกต้องคือเรื่องของตราสารอนุพันธ์ ปัญหาใหญ่ที่เกิดในกรณีของเอไอจีคือ เอไอจีขายประกันตราสารอนุพันธ์จำนวนมากกับสถาบันการเงินอื่นแบบเจรจากันตัวต่อตัว (แบบ over-the-counter ย่อว่า OTC) ไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ (exchange) ที่มีสภาพคล่องและราคาอ้างอิง พอเอไอจีถูกสถาบันจัดอันดับลดอันดับระหว่างวิกฤต เอไอจีก็ต้องเพิ่มหลักประกันแต่ไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าตราสารเหล่านี้มี "มูลค่าที่แท้จริง" เท่าไร (และคู่ค้าพอถึงตอนนั้นก็ไม่มั่นใจแล้ว) ทำให้สถานการณ์แย่ลงถึงจุดล้มละลายอย่างรวดเร็ว กฎหมายดอดด์-แฟรงค์กำหนดว่าตราสารอนุพันธ์ที่มีมาตรฐานทุกชนิดต้องซื้อขายผ่านสถาบัน หักบัญชี (clearinghouse) และตลาดหลักทรัพย์ สั่งให้ธนาคารเลิกทำกิจการซื้อขายอนุพันธ์สวอปที่ไม่ใช่ "ธุรกรรมบริหารความเสี่ยงหรือกิจกรรมของธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม" (แปลว่าห้ามเก็งกำไรสวอปที่มีความเสี่ยงสูง) ทั้งหมด และให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจกำหนดเพดานมาร์จิ้น (margin requirement) ทั้งหมดนี้หมายความว่าการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ นับจากนี้น่าจะมีความโปร่งใส ปลอดภัยและ มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
พูดถึงสาระสำคัญในส่วนที่ 1 และ 2 ไปแล้ว ตอนหน้าจะมาว่ากันต่อด้วยสาระสำคัญของสองส่วนหลัง - กฎเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดทุน และกลไกคุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงิน
กฎหมายปฏิรูปภาคการเงินอเมริกันชื่อ Dodd-Frank Wall Street Reform and Consumer Protection Act ("กฎหมายดอดด์-แฟรงค์") ที่ผ่านการลงนามโดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2010 เป็นมหกรรมปฏิรูปภาคการเงินอเมริกันที่ลึกและกว้างที่สุดในรอบ 80 ปี เนื้อหาของกฎหมายนี้แบ่งได้เป็นสี่ส่วนใหญ่คือ อำนาจการกำกับดูแลและความเสี่ยงเชิงระบบ กฎเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน กฎเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดทุน และกลไกคุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงิน

คราวก่อนผู้เขียนพูดถึงสาระสำคัญและข้อถกเถียงในสองส่วนแรกไปแล้ว วันนี้มาว่ากันเรื่องสองส่วนหลังบ้าง

3.กฎเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดทุน

นอกจากกฎหมายดอดด์-แฟรงค์จะนำตราสารอนุพันธ์ส่วนใหญ่ขึ้นมา "บนดิน" ด้วยการกำหนดให้ซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ และห้ามธนาคารพาณิชย์เก็งกำไรสวอปที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว กฎหมายฉบับนี้ยังบังคับให้บริษัทที่รับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าสินทรัพย์เสี่ยงที่แปลงเป็นหลักทรัพย์ไปขาย กฎข้อนี้น่าจะส่งผลดีต่อตลาดทุน เพราะการกำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ลงเงินของตัวเองไม่ใช่น้อย ๆ ในหลักทรัพย์ที่นำไปเร่ขายนั้นน่าจะทำให้บริษัทเหล่านั้นใช้ความระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น ลดแรงจูงใจที่จะจับเสือมือเปล่าหรือย้อมแมวขายเหมือนอย่างในอดีต (ศัพท์สแลงในตลาดทุนฝรั่งเรียกว่า ตอนนี้มี "เนื้อหนังอยู่ในเกม" (skin in the game) แล้ว)

ข้อกำหนดในกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เพิ่มความรับผิดทางกฎหมายของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating agency) โดยเฉพาะความรับผิดต่อนักลงทุนที่ซื้อหลักทรัพย์ที่ตนจัดอันดับ เพราะปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่ผ่านมาคือ บริษัทจัดอันดับประเมินความเสี่ยงของหลักทรัพย์ผิดพลาด ส่วนหนึ่งเพราะพึ่งพาข้อมูลจากวาณิชธนกิจผู้จัดจำหน่ายมากเกินไปโดยไม่เป็นอิสระเท่าที่ควร ภาระความรับผิดทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นน่าจะสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจัดอันดับใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบและเป็นอิสระมากกว่าเดิม แต่ก็มีแนวโน้มเหมือนกันที่บริษัทจัดอันดับบางแห่งจะเลือกวิธี "มักง่าย" แทนที่จะปรับปรุงตัว คือไม่ยอมให้ผู้ออกหลักทรัพย์เปิดเผยผลการจัดอันดับในหนังสือชี้ชวนที่ไปถึงนักลงทุน เพื่อกำจัดความเสี่ยงที่ตนจะถูกฟ้องร้องตั้งแต่ต้น

คำถามที่ว่ากฎเรื่องนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือแย่ลง ระหว่างบริษัทจัดอันดับทำงานอย่างรอบคอบและน่าเชื่อถือกว่าเดิม (ดีขึ้น) หรือไม่ตีพิมพ์ผลการจัดอันดับเพื่อหลบเลี่ยงความรับผิด (แย่ลง) คงต้องรอดูไปอีก 2-3 ปีกว่าจะเห็น เพราะส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับวิธีแปรกฎหมายเป็นกฎระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติของ ก.ล.ต.อเมริกาเองด้วย

ด้านการเปิดเผยข้อมูลและอำนาจในการกำกับตลาดทุน กฎหมายดอดด์-แฟรงค์มอบอำนาจให้ ก.ล.ต. ออกกฎเกี่ยวกับ "การเปิดเผยข้อมูลที่จุดขาย" (point-of-sale disclosure rules) เพื่อช่วยนักลงทุนรายย่อยทำความเข้าใจกับหลักทรัพย์ที่มักจะถูกศัพท์สวยหรูและซับซ้อนปิดบังความเสี่ยงและต้นทุนที่แท้จริง แต่เนื่องจากหลายฝ่ายเกรงว่า ก.ล.ต. อาจเพิ่มกฎการเปิดเผยข้อมูลในทางที่ทำให้ต้นทุนของโบรกเกอร์สูงขึ้น และโบรกเกอร์จะส่งต่อต้นทุนมาให้นักลงทุนแบกรับ กฎหมายจึงกำหนดให้ ก.ล.ต. สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษาระดับความอ่านออกเขียนได้ทางการเงิน (financial literacy) ของนักลงทุนรายย่อย ก่อนที่จะออกกฎเรื่องนี้ในรายละเอียดต่อไป

ปัญหาหนึ่งที่ผ่านมาในตลาดทุนคือ มหกรรมฉ้อโกงมักจะดำเนินไปนานหลายปีก่อนจะถูกเปิดโปงและดำเนินคดี กว่าจะถึงตอนนั้นก็มีผู้เสียหายไปแล้วหลายพันคนหรือมากกว่านั้น สาเหตุสำคัญข้อหนึ่งคือความไม่ชอบมาพากลในตลาดทุนเป็นที่รู้กันในหมู่ "คนใน" ไม่กี่คน ถ้าไม่ใช่พนักงานของบริษัทที่ทำดีลนั้นจริง ๆ ก็ยากที่ ก.ล.ต. จะล่วงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกว่าจะมีผู้เสียหายแล้วในวงกว้าง ดังนั้นกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ จึงเพิ่มแรงจูงใจให้ "คนใน" มาให้เบาะแสการทุจริตกับ ก.ล.ต. ด้วยการกำหนดว่า ใครก็ตามที่มอบข้อมูลให้กับ ก.ล.ต. แล้วนำไปสู่การสอบสวนเอาผิดได้สำเร็จ จะได้รับเงินรางวัลร้อยละ 10-30 ของค่าปรับที่สูงกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ แรงจูงใจใหม่นี้อาจสร้างบรรยากาศ "มหกรรมจับผิด" ในตลาดทุนช่วงแรก โดยคนที่แห่กันอ้างว่ามีเบาะแสการทุจริต แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จริง ไม่นานทุกอย่างก็น่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ หลังจากที่เกิดความชัดเจนว่า ก.ล.ต.จะ "เอาเรื่อง" กับกรณีทุจริตชนิดใดบ้าง

นอกจากจะมุ่งปรับปรุงตลาดทุนให้โปร่งใสและคุ้มครองนักลงทุนมากขึ้น กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ยังมีหลายมาตราที่พยายามปรับปรุงระดับธรรมาภิบาล และเพิ่มอำนาจให้ผู้ถือหุ้นมีส่วนร่วมในการกำหนดโครงสร้างคณะกรรมการและค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง เช่น กฎหมายนี้ระบุว่า ก.ล.ต.มีอำนาจออกกฎเกณฑ์ที่อนุญาตให้ผู้ถือหุ้นสามารถใช้หนังสือมอบฉันทะ (proxy solicitation) เสนอรายชื่อบุคคลให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นโหวตเลือกเป็นกรรมการบริษัท นอกจากนี้กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ยังกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนทุกแห่ง อธิบายเหตุผลที่ประธานกรรมการกับซีอีโอเป็นคนคนเดียวกัน หรือเป็นคนละคนกัน รวมทั้งขยายขอบเขตผลตอบแทนผู้บริหารที่บริษัทมีสิทธิเรียกคืน (clawback) ในกรณีที่ผู้บริหาร "ไม่ทำตามกฎในสาระสำคัญ" จาก 1 ปีเป็น 3 ปีย้อนหลัง เพื่อพยายามสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริหารทำงานด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น

4.กลไกคุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงิน

มาตราที่สำคัญที่สุดมาตราหนึ่งในกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ คือการจัดตั้งหน่วยงานราชการใหม่ ชื่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน (Bureau of Consumer Financial Protection) โดยให้มีอำนาจกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั้งหมดที่ขายให้กับผู้บริโภครายย่อย เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อที่อยู่อาศัย กฎหมายข้อนี้ทำตามข้อเสนอของศาสตราจารย์ อลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการเงินส่วนบุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ไม่น่าแปลกใจที่การก่อตั้งหน่วยงานรัฐใหม่ถอดด้ามจะถูกต่อต้านอย่างหนักจากภาคธุรกิจ บางกระแสข่าวบอกว่าสภาหอการค้าอเมริกันทุ่มเงินกว่า 3 ล้านเหรียญ ไปกับการต่อต้านแนวคิดนี้ตั้งแต่ก่อนมีร่างกฎหมาย รวมทั้งจัดตั้งเว็บไซต์ต่อต้านที่มีคลิปวิดีโอและความเห็นจากผู้คัดค้านมากมาย ข้อคัดค้านโดยสรุปคือ หน่วยงานใหม่นี้จะทำให้ประชาชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินยากกว่าเดิม เพิ่มต้นทุนของผลิตภัณฑ์เดิม และทำให้ธุรกิจขนาดเล็กเดือดร้อนเพราะเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น อีกทั้งยังมีอำนาจควบคุมผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางชนิดที่ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ อย่างเช่น สินเชื่อเงินสด (ภาษาชาวบ้านไทยเรียก "เงินด่วนเสาไฟฟ้า" เพราะโฆษณาติดตามเสาไฟฟ้า ภาษาชาวบ้านอเมริกันเรียก "payday loan" เพราะครบกำหนดชำระหนี้ในวันเงินเดือนออก)

นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายขวาบางคนถึงขั้นประณามหน่วยงานนี้ว่า มันจะกลายเป็นหน่วยงานราชการที่ใช้เป้าหมายด้าน "ความยุติธรรมทางสังคม" มากำหนดสินเชื่อ แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์ด้าน "ความปลอดภัยและความเหมาะสม" ส่วนนักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายซ้ายส่วนใหญ่ก็เรียกร้องให้หน่วยงานนี้เป็นอิสระจากธนาคารกลาง เพื่อรับประกันว่าจะมีอำนาจที่แท้จริงในการกำหนดเกณฑ์คุ้มครองผู้บริโภคบริการทางการเงินที่ได้ผล เช่น กฎระเบียบเกี่ยวกับการเปิดเผยเงื่อนไขของบัตรเครดิตในภาษาที่คนเข้าใจง่ายและแจกแจงค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน

ผลลัพธ์สุดท้ายที่ปรากฏในกฎหมายนับเป็นการประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็หมายความว่ามันทำให้น้อยคนพอใจ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทางการเงินถือกำเนิดแล้วก็จริง แต่อยู่ใต้การควบคุมของธนาคารกลาง (แม้จะมีผู้อำนวยการที่สรรหาในกระบวนการอิสระและงบประมาณที่เป็นเอกเทศ) หน่วยงานนี้มีอำนาจเขียนกฎระเบียบที่กว้างขวางก็จริง แต่มีอำนาจในการบังคับใช้ค่อนข้างจำกัด

อย่างไรก็ตาม อลิซาเบธ วอร์เรน ผู้ให้กำเนิดหน่วยงานนี้และเป็นตัวเต็งที่จะเป็นผู้อำนวยการคนแรกเชื่อมั่นว่า หน่วยงานใหม่ "มีอำนาจและความเป็นอิสระเพียงพอที่จะซ่อมตลาดสินเชื่อที่ใช้การไม่ได้" และย้ำว่ามันไม่ได้เป็นการเพิ่มอำนาจรัฐ เท่ากับเป็นการรวบรวมอำนาจควบคุมผลิตภัณฑ์ทางการเงินส่วนบุคคลที่เคยอยู่กระจัดกระจายตามหน่วยงานราชการต่าง ๆ เข้ามาเป็นหน่วยงานเดียวให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าเดิม รวมทั้งเพิ่มอำนาจและความรับผิดชอบให้สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้ดีขึ้น ศาสตราจารย์วอร์เรนไม่คิดว่าหน่วยงานราชการใหม่นี้ทำให้ธุรกิจการเงินแย่ลง ในทางตรงกันข้าม เธอมองว่างานของหน่วยงานนี้น่าจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินโปร่งใสและเป็นมิตรกับผู้บริโภคมากกว่าเดิม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผู้บริโภคก็จะสามารถแยกแยะระหว่างผู้ให้บริการที่รับผิดชอบกับเจ้าอื่นที่ไม่รับผิดชอบ เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและผลักดันให้ธุรกิจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญบางคนเสียดายที่กฎหมายฉบับนี้ไม่แก้ปัญหาสำคัญบางเรื่อง เช่น ไม่ปฏิรูปแฟนนี แม (Fannie Mae) กับเฟรดดี แมค (Freddie Mac) สถาบันการเงินกึ่งรัฐที่กระพือตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยความเสี่ยงสูงจนกลายเป็นฟองสบู่อันตรายในเวลาต่อมา และไม่แตะการใช้โมเดลซื้อขายหลักทรัพย์แบบอัตโนมัติ (automated trading models) บนคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้ตลาดผันผวนกว่าที่ควร ตีความสัญญาณผิดพลาด และไม่คำนึงถึงความเสี่ยงเชิงระบบ

กล่าวโดยสรุป กฎหมายดอดด์-แฟรงค์ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างของภาคการเงินอเมริกันชนิดถอนรากถอนโคนอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่มันก็เป็นกฎหมายสำคัญที่ปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐให้ตามทันตลาดการเงินยุคโลกาภิวัตน์มากขึ้นมาก คำถามใหญ่ที่ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะออกแบบ "กฎวิเศษ" ที่สามารถป้องกันวิกฤตการเงินไม่ให้เกิดขึ้นเลย คงเป็นปัญหาโลกแตกที่ถกเถียงกันไปอีกนาน ผู้เขียนเห็นด้วยกับความเห็นของ ดัก เอลเลียต (Doug Elliott) นักวิจัยจากสถาบันบรุกกิงส์ ที่ว่า "ผมคิดว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจร้ายแรงที่เราเพิ่งประสบไปนั้นจะรุนแรงน้อยกว่านี้มาก ถ้าหากเรามีกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ก่อนหน้านั้น กฎหมายฉบับนี้จะไม่กำจัดวิกฤตการเงิน แต่มันจะทำให้วิกฤตการเงินเกิดขึ้นถี่น้อยลงและมีพิษสงน้อยกว่าเดิมมาก"

ถึงที่สุดแล้ว กฎหมายดอดด์-แฟรงค์สะท้อนความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างกลไกตลาดเสรีกับเป้าหมายทางสังคม สมดุลที่สร้างยากและรักษายากยิ่งกว่า แต่ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับกฎหมายฉบับนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยปิดฉากยุคเรืองอำนาจของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่เชื่อว่า "ตลาดเสรีดูแลตัวเองได้" ลงอย่างบริบูรณ์ในสหรัฐอเมริกา

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บริหารกองทุนโดยเครื่องมือ ป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิต

อาสา อินทรวิชัย กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 06 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ในรอบเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ธุรกรรมอีกประเภทที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่า Interest Rate Derivatives คือ Credit derivatives ปริมาณของธุรกรรมดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการใช้ Credit Default Swap (CDS) เพื่อการป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิต (Buying “Protection”) หรือเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุน (Selling “Protection”) ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกรรม credit derivatives คือ สภาพคล่องที่ล้นตลาดโลกซึ่งไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเครดิต ผ่าน Bond (funded) และ Swap (unfunded) และจากการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำให้ปริมาณการใช้ Credit derivatives ในรูปของ CDO มีมากขึ้น เพราะเป็นช่องทางที่ช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมได้อย่างมาก

หากกล่าวถึง Credit derivatives แล้ว พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของ CDS และ CLN เป็นหลัก ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1.CDS เป็นรูปแบบของการ bypass credit risk (หรือในทางกลับกันเพิ่ม exposure บนเครดิตหนึ่งๆ) ให้แก่อีก counterparty หนึ่ง ในกรณีของธุรกรรมประเภท Unfunded (หรือเรียกว่า ธุรกรรม Swap) นั้น CDS เปรียบเสมือนค่า premium ต่อปี ที่ผู้ซื้อ protection บนเครดิตหนึ่งๆ ต้องจ่ายให้กับผู้ขาย protection Flow ของการ swap สามารถแสดงดังในรูปที่ 1

ราคา CDS จะถูก quote ในรูป basis point ต่อปี (Bps p.a.) สามารถหาได้จาก BLOOMBERG โดย tenor ที่ active ของ CDS นั้นคือ 5 ปี หากสถานะทางการเงินของบริษัทนั้นแข็งแกร่งมาก (หรือ Credit rating ดีมาก) ค่า CDS จะอยู่ในระดับต่ำ คือความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทนั้นอยู่ในระดับต่ำ ในทางตรงข้าม หากสถานะทางการเงินของบริษัทนั้นแย่ลง ค่า CDS จะเริ่มปรับสูงขึ้น สะท้อนความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้น ทราบไหมครับว่าในปี 2007 ก่อน Lehman จะล่มสลายนั้น CDS ของสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Morgan Stanley อยู่ที่ระดับ 20-30bps ต่อปี เท่านั้น แต่ในปลายปี 2008 นั้น CDS ของ MS ได้ปรับสูงขึ้นเป็น 1200bps!!!!!

2.ในกรณีของ Funded transaction (หรือการลงทุนในตราสารหนี้) นั้น มักเป็นรูปแบบของการลงทุนผ่าน Credit Linked Note (CLN) โดยที่ CDS เปรียบเสมือน credit spread ส่วนเพิ่มจาก benchmark (ซึ่งใช้ Swap หรือ USD Libor เป็นตัวอ้างอิง) ที่ชดเชยให้สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้อื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูงกว่าของสถาบันการเงินที่เป็นผู้ออกตราสาร CDS spread จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับสถานะทางการเงินของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้เป็นสำคัญ

Credit Linked Note = Funding + Credit Default Swap (CDS)

บ่อยครั้งที่นักลงทุนมักประสบปัญหาไม่สามารถหาซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตรได้ตามที่ต้องการ (เนื่องจากสภาพคล่องน้อย) หรือหากโชคดีสามารถหาได้ ก็อาจมิใช่ตราสารที่มีอายุคงเหลือตามที่ต้องการ ดังนั้นธุรกรรม CLN จึงเกิดขึ้นเพื่อรองรับโจทย์ดังกล่าวดังตัวอย่างต่อไปนี้ หากมีผู้ลงทุนรายหนึ่งต้องการลงทุนในตราสารที่ออกโดย ปตท. (PTT) อายุ 5 ปี แต่ในตลาด USD bond ที่ออกโดย PTT นั้นมีเพียงอายุ 3 ปี และ 8 ปี อีกทั้งยังมีสภาพคล่องที่ต่ำมาก เขาจึงไม่สามารถหา PTT (USD) bond 5 ปี ได้ นี่คือ ที่มาของ CLN เราเรียก CLN ที่ link กับ reference name เพียงบริษัทเดียวว่า “Single-name CLN”

CLN เปรียบเสมือนตราสารหนี้สังเคราะห์ ที่จะทำการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ผู้ลงทุนตราบใดที่ reference entity (ตราสารอ้างอิงหรือ PTT ในกรณีนี้) ยังคงทำการจ่ายดอกเบี้ยตามปกติ ในทางกลับกันหากเกิด credit event (PTT ไม่สามารถชำระภาระหนี้สินได้) ธนาคาร ก็จะหยุดชำระดอกเบี้ยบน CLN ใบดังกล่าวเช่นกัน พร้อมทั้งจะส่งมอบตราสารหนี้ที่ออกโดย PTT ให้แก่ผู้ลงทุนตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว

1 ปีที่ผ่านมาราคาของ CLN สูงขึ้นมากก็เพราะ ทั้ง Funding ของธนาคาร และ CDS ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากครับ สำหรับนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่า Single-name CLN ยังให้ return ไม่สูงพอ เขาจะมองหา “First-To-Default basket” CLN (FTD) แทนครับ โดยทั่วไป เงื่อนไขการจ่าย coupon ของ FTD จะ link เป็น 3 name มากกว่า แทนที่จะ link กับ PTT เพียง name เดียวดังกรณีของ Single name CLN ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า Return ที่สูงขึ้นนั้นมาจาก ความเสี่ยงที่สูงขึ้น เนื่องจาก FTD จะหยุดจ่าย coupon หาก name ใด name หนึ่งใน Basket เกิด Default ขึ้น สังเกตว่าโอกาส ที่ CLN จะหยุดจ่าย coupon ของ FTD นั้นมีมากกว่า ของ Single name CLN อย่างแน่นอน “FTD จึงต้อง compensate ผู้ลงทุน ด้วย Return ที่ สูงขึ้น” โดยทั่วไป FTD มี 2 แบบครับ

แบบที่ 1: แต่ละ Name ในตะกร้า มีความสัมพันธ์กัน (sector เดียวกัน หรือประเทศเดียวกัน) เช่น ตะกร้า [Goldman Sachs + Merrill Lynch + BNP + Lehman Brothers]

แบบที่ 2: แต่ละ Name ในตะกร้า ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์กันตะกร้า [PTT + Woori Bank (Bank เกาหลี) + รัฐบาล Australia + Petronas + British Telecom]

1. หากแต่ละ name มี Correlation สูง (ดังในแบบที่ 1), ผลตอบแทนจะไม่ค่อยมี pickup เท่าไร เพราะ โอกาส name หนึ่งในตะกร้าจะ Default นั้นมักเป็น name ที่แย่ที่สุด หมายความว่า Return ของตะกร้าแรก จะใกล้เคียงกับ Return ของ Lehman เพราะ Lehman แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับ Goldman, Merrill และ BNP ซึ่ง Lehman ต้องเจ๊งก่อนแน่นอน

2 หากแต่ละ name มี Correlation ต่ำ (ดังในแบบที่ 2), ผลตอบแทนจะมี pickup สูงขึ้นมาก เพราะ โอกาสที่แต่ละ name ในตะกร้าจะ Default นั้น สามารถเป็นตัวใดก็ได้ในตะกร้า กล่าวคือ โอกาสที่ PTT จะ Default ก็คงพอๆ กับที่ Woori bank จะ Default เช่นกัน

Credit derivatives มีความสำคัญต่อการพัฒนาตลาดเครดิตทั้งต่อ investment bank และ commercial bank โดยเฉพาะเมื่อ credit risk management (ผ่าน Basel II) มีความสำคัญมากขึ้น อีกทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เช่น Synthetic CDO หรือ Basket of Credit Derivatives (First-to-Default หรืออื่นๆ) ที่ทำให้การโอนถ่าย credit exposure มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเด็นสุดท้ายคงอยู่ที่ผู้ใช้ที่ต้องควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจหรือวัตถุประสงค์ของตนเองครับ

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

'ซาเช่' กลยุทธ์ไซซิ่ง พิชิตใจผู้บริโภค

'ซาเช่' กลยุทธ์ไซซิ่ง พิชิตใจผู้บริโภค
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์4 มิถุนายน 2553 16:36 น.


ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องประหยัดเงินในกระเป๋า ด้วยการตัดรายจ่ายฟุ่มเฟือยออก ขณะที่สินค้าที่มีความจำเป็นก็อาจถูกลดปริมาณการซื้อ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการเท่านั้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้ 'ราคา' มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ต่างไปจากปัจจัยเรื่อง 'แบรนด์' หรือ 'คุณภาพ' ของสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าประเภทคอนซูเมอร์ โปรดักส์ ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีมนวดผม น้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่บางครั้งราคาต่างกันเพียง 1-2 บาท ก็อาจทำให้ผู้บริโภคสวิตช์ไปเลือกแบรนด์คู่แข่งที่อยู่ในเกรดเดียวกันได้ไม่ยาก

และเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกระดับ โดยเฉพาะระดับรากหญ้า แน่นอนว่าสินค้าขนาดเล็กในรูปแบบ 'ซอง' หรือที่เรียกว่า 'ซาเช่' กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้กับการทำตลาดเช่นกัน เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นตัวช่วยต้อนกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่มากแล้ว แพกเกจจิ้งในรูปแบบดังกล่าวยังช่วยเพิ่มโอกาสการทดลองซื้อไปใช้ให้กับสินค้าตัวใหม่ได้เป็นอย่างดีด้วย

ตามไปดู เจ้าของสินค้าที่หันมาสนใจและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์นี้มากขึ้น มากขึ้น เริ่มกันที่ 'พอนด์ส' ผู้เล่นระดับแถวหน้าในสินค้ากลุ่มสกินแคร์ ที่เปิดเกมรุกกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างจริงจังอีกระลอก โดยครั้งนี้โฟกัสไปยังตลาดรูปแบบซอง (ซาเช่) ด้วยการเปิดตัว 'อีซี่แค็ป' ครีมบำรุงผิวชนิดซองแบบมีฝา ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมด้านแพกเกจจิ้งที่มีฝาเกลียวเปิด-ปิดครั้งแรกในไทย

ซึ่งที่ผ่านมา สินค้าแบบซอง หรือซาเช่มีมานานแล้วในบ้านเรา และมีให้เห็นในหลายโปรดักส์ เช่น แชมพู ครีมนวด ครีมบำรุงผิว ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยมีเป้าหมายเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อไม่มาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มต่างจังหวัดที่นิยมซื้อสินค้าขนาดเล็กเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ 1-2 ครั้งเท่านั้น ต่างจากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าในกรุงเทพฯ หรือกลุ่มคนเมืองที่มีกำลังซื้อสูงจะนิยมซื้อสินค้าขนาดใหญ่ในรูปแบบขวดมากกว่า ทำให้ในตลาดซาเช่มีผู้เล่นจำนวนมากทยอยขึ้นสู่เวทีนี้อย่างต่อเนื่อง

กลับมาที่นวัตกรรมใหม่ของพอนด์ส ลูกเล่นตัวล่าสุดที่แชมป์รายนี้นำมาเขย่าคู่แข่งในตลาดครีมบำรุงผิวแบบซองที่ตอนนี้มีมูลค่าราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 62% จากตลาดเทรดดิชันนัลเทรด ที่เรียกว่าแชมป์คงไม่ผิด เพราะหากจำกัดพื้นที่การแข่งขันตลาดครีมบำรุงผิวอยู่ในกรอบของรูปแบบซอง 'พอนด์ส' แบรนด์ภายใต้ร่มเงาของยูนิลีเวอร์ฯ ยังคงเป็นผู้นำในเวทีนี้ แม้ว่าในภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าจะเสียตำแหน่งผู้นำให้กับ 'โอเลย์' จากค่ายพีแอนด์จีไปแล้ว และแม้ว่าผู้บริหารจากลีเวอร์จะไม่สามารถแหกกฎเหล็กของบริษัทเปิดเผยตัวเลขส่วนแบ่งได้ก็ตาม แต่เพื่อตอกย้ำและแสดงภาพความเป็นผู้นำให้ชัดเจนขึ้น ดังนั้น 'อีซี่แค็ป' จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสื่อสารกับผู้บริโภค ซึ่งในเอเชีย ไทยลอนช์นวัตกรรมดังกล่าวต่อจากประเทศเวียดนาม และอินเดีย

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญของพอนด์สในการลอนช์นวัตกรรมตัวนี้ ยังอยู่ที่การตอบโจทย์ผู้บริโภคในกลุ่มต่างจังหวัด หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่มาก แต่ต้องการขยับมาใช้สินค้าที่เป็นแมสทีจ เพราะการลอนช์แพกเกจจิ้งอีซี่แค็ปในครั้งนี้ พอนด์สเลือกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ในตระกูล 'ฟลอเลส' ซึ่งเป็นครีมบำรุงผิวประเภทไวท์เทนนิ่งที่ลีเวอร์เคยรีลอนช์และอัปเกรดให้เป็นผลิตภัณฑ์ระดับแมสทีจเมื่อ 1-2 ปีก่อน เพื่อเจาะกลุ่มนักศึกษา คนทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากกว่ากลุ่มลูกค้า 'พอนด์ส ไวท์ บิวตี้' ที่เน้นจับกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มสาวในต่างจังหวัดมากกว่า

ย้อนไปทบทวนเกี่ยวกับพอนด์สในเซกเมนต์ไวท์เทนนิ่ง จะเห็นว่า พอนด์ส มีสินค้า 2 กลุ่มเพื่อเจาะตลาดนี้โดยเฉพาะ ประกอบด้วย 1.กลุ่มไวท์บิวตี้ มีให้เลือก 2 สูตร คือ พอนด์ส ไวท์ บิวตี้ (สีชมพู) กับพอนด์ส ไวท์ บิวตี้ ดีท็อกซ์ (สีส้ม) เพื่อบุกตลาดแมส 2.กลุ่มฟลอเลส ไวท์ ที่ถูกกำหนดหน้าที่ให้บุกตลาดแมสทีจ ก็มีให้เลือก 2 สูตร คือ พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์ (สีชมพู) กับ พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์ ยูวี (สีส้ม) ซึ่งสูตรหลังนี้ทางยูนิลีเวอร์เพิ่งลอนช์ออกมาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อให้มีครบ 2 สูตรเหมือนพอนด์สในตระกูลไวท์บิวตี้เช่นกัน

สำหรับการเปิดตัวอีซี่แค็ปในกลุ่มฟลอเลส ไวท์ ผู้บริหารค่ายลีเวอร์ กล่าวกับ ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ว่าเป็นเพราะต้องการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่อาจมีกำลังซื้อไม่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มต่างจังหวัดที่ต้องการขยับมาใช้สินค้าที่เป็นแมสทีจ โดยสินค้าพอนด์สกลุ่มไวท์บิวตี้ก็ยังมีอยู่เช่นเดิมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ยังชอบและเหนียวแน่นในสินค้ากลุ่มนี้

ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นไฮไลต์สร้างความเหนือคู่แข่งและเรียกว่าตอกย้ำการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดซอง นั่นคือ การสามารถตอบโจทย์ที่เป็นอินไซด์ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้คงคุณภาพเช่นเดิม เพราะที่ผ่านมา ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าแบบซองไปใช้จะต้องพบกับปัญหาเรื่องการเก็บรักษา หรืออย่างน้อยต้องให้ผลิตภัณฑ์อยู่ในซองอย่างเรียบร้อยไม่ไหลออกเลอะเทอะ ซึ่งหากนึกภาพออก จะเห็นว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้แก้ไขปัญหาไปด้วยวิธีที่แตกต่างกัน เช่น การใช้กิ๊บหนีบ หรือการพับมุมซองเอาไว้ แต่นั่นก็ทำให้เกิดความยุ่งยากต่อการเก็บรักษา และเป็นไปได้ว่าในกรณีที่เป็นสินค้าประเภทบำรุงผิวหน้า ผู้บริโภคอาจเกิดความไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้า เมื่อแพกเกจจิ้งไม่สามารถปิดสนิทได้เช่นเดิม แม้สินค้าชนิดซองจะมีปริมาณการใช้เฉลี่ยเพียง 1-2 ครั้งก็ตาม

ดังนั้น การพัฒนาแพกเกจจิ้งชนิดซองให้มีฝาเกลียวเปิด-ปิด จึงเป็นสิ่งที่ออกมาแก้โจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดย วรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหารด้านการตลาดผลิตภัณฑ์ความงาม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย บอกว่า ซองแบบอีซี่แค็ปเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวชนิดซองให้ใช้งานได้สะดวก เก็บรักษาง่าย และคงสภาพผลิตภัณฑ์ให้นานยิ่งขึ้น

ทว่า หากลอนช์ออกมาในขนาดเดียวกับพอนด์สชนิดซองปรกติในกลุ่มของพอนด์ส ไวท์ บิวตี้ ก็อาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า พอนด์ส รุ่นอีซี่แค็ปมีราคาแพงกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความลังเลในการตัดสินใจซื้อ แม้ว่าพอนด์ส ตระกูลฟลอเลสจะถูกวางโพซิชันนิ่งเป็นสินค้าแมสทีจที่มีราคาสูงกว่าก็ตาม ซึ่งนั่นหมายความว่าพอนด์สต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อเอ็ดดูเคตผู้บริโภคในต่างจังหวัดให้เกิดความเข้าใจและยอมรับก่อน แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เป็นไปได้ว่า ผู้นำรายนี้จึงเลือกลอนช์ พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์ และ พอนด์ส ฟลอเลส ไวท์ ยูวี แบบอีซี่แค็ปที่ขนาด 10 มล. วางราคาที่ 12 บาท และ 15 บาท ตามลำดับ เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนทั้งในรูปลักษณ์และขนาดของสินค้าเมื่อเทียบกับพอนด์สในตระกูลไวท์บิวตี้ชนิดซองที่มีขนาด 8 มล. ราคา 10 บาทเท่านั้น

อีก 1 แบรนด์ที่หวังจะใช้แพกเกจจิ้งชนิดซองเป็นหัวหอกในการกระชากการตัดสินใจซื้อของลูกค้า นั่นคือ 'คอมฟอร์ท' 1 ในแบรนด์ระดับแถวหน้าที่ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นแบรนด์ที่อยู่ในฐานะผู้นำตลาดน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้น คอมฟอร์ทยังเป็นแบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเสื้อผ้า ซึ่งเป็นหมวดที่ค่ายนี้ภูมิใจมากที่สุด

สำหรับแบรนด์ 'คอมฟอร์ท' แม้จะมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มคุณแม่บ้านมานาน แต่ใช่ว่าการออกสินค้าใหม่จะเป็นที่ยอมรับหรือประสบความสำเร็จในทุกครั้ง โดยเฉพาะนวัตกรรมที่มีผลให้ผู้บริโภคต้องปรับพฤติกรรม ดังนั้น การจัดคาราวานท้าพิสูจน์ประสิทธิภาพจึงเป็นกลวิธีสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับผู้บริโภค ทว่า ในแง่ของการตัดสินใจซื้อ แน่นอนว่า สินค้าไซส์เล็กย่อมช่วยเปิดโอกาสการซื้อไปทดลองใช้ได้ง่ายมากขึ้น

ดังนั้น การเปิดตัว 'คอมฟอร์ท อัลตร้า น้ำเดียว' น้ำยาปรับผ้านุ่มที่ช่วยลดขั้นตอนการซักผ้าจาก 3 น้ำเหลือ 1 น้ำ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดจากคอมฟอร์ท จึงมีการลอนช์สินค้าไซส์เล็กออกมาด้วย โดยสินค้าขนาดเล็กชนิดขวด 170 มล. ราคา 29 บาท ก็เชื่อว่าจะดึงดูดลูกค้ากลุ่มคนเมืองได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบปริมาณกับคู่แข่งอย่างดาวน์นี่ แบบขวดขนาด 200 มล. จะมีปริมาณน้อยกว่าก็ตาม แต่จากการกำหนดราคาที่ 29 บาทเท่ากัน ก็เชื่อว่าผู้บริโภคจะไม่เกิดความรู้สึกว่าจ่ายแพงมากกว่า

ขณะที่กลุ่มแม่บ้านต่างจังหวัดนั้น การจ่ายเงิน 29 บาท ต่อการทดลองสินค้าใหม่ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ซึ่งลีเวอร์คงตระหนักถึงจุดนี้ จึงออกสินค้าไซส์เล็กชนิดซองขนาด 24 มล. ราคา 4 บาท ที่แพงกว่าคอมฟอร์ท สูตรปรกติ ชนิดซองเพียง 1 บาทเท่านั้น ออกมากระตุ้นลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่มาก หรือกลุ่มลูกค้าในต่างจังหวัดที่นิยมซื้อสินค้าแบบซองมาทดลองใช้มากกว่า โดยผู้บริโภคจะสามารถทดสอบประสิทธิภาพและวัดความพึงพอใจด้วยตนเองได้ตั้งแต่ครั้งแรก ด้วยการซื้อเพียง 1-2 ซองเท่านั้น เพราะคอมฟอร์ทได้กำหนดและตวงปริมาณการใช้ให้กับคุณแม่บ้านไว้อย่างชัดเจน โดยคอมฟอร์ท อัลตร้า ชนิดซอง 24 มล. สามารถใช้ได้ต่อการซักผ้าด้วยมือ 1 ครั้ง และ 2 ซอง สำหรับการซักผ้าด้วยเครื่อง 1 ครั้ง

และนี่เป็นเพียงตัวอย่างเจ้าของสินค้าที่นำ 'ซาเช่' มากระชากใจผู้บริโภคในยุครัดเข็มขัด

แบรนด์รองชิงบทผู้นำ ฉีกตลาดสร้างอาณาจักรใหม่

แบรนด์รองชิงบทผู้นำ ฉีกตลาดสร้างอาณาจักรใหม่
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์4 มิถุนายน 2553 17:56 น.


-'พนมรุ้ง' ขุดเจอขุมทรัพย์ข้าวถุง ฟู้ดเซอร์วิส

-ศึกยาสีฟันมันสุด ใครก็ว่าเป็นผู้นำตลาดแต่อยู่คนละสูตร

-เส้นหมี่อบแห้งไร้แววแบรนด์ใหญ่ เจอ 'ไวไว' ฮุบซะ


จะมัวเป็นผู้ตามอยู่ทำไม เมื่อบรรดาแบรนด์เบอร์ 2 เบอร์ 3 ของตลาดยังมีโอกาสพลิกแพลงสถานการณ์ ดันตัวเองไปอยู่ตำแหน่งผู้นำ หากสามารถค้นเจอเค้กก้อนใหม่ แม้จะเล็กกว่า แคบกว่า แต่ยังภูมิใจได้ว่า สินค้าแบรนด์นั้นคือเจ้าตลาด

ข้าวพนมรุ้ง
ขอเป็นหนึ่ง ในฟู้ดเซอร์วิส


เสน่ห์ของตลาดข้าวถุงอยู่ตรงที่เป็นตลาดใหญ่ บางคนบอกว่ามีมูลค่าถึง 20,000 ล้านบาทต่อปี แถมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นตลอด จะไม่เพิ่มขึ้นได้อย่างไรในเมื่อคนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก มิหนำซ้ำจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้นทุกปี ด้วยเหตุนี้ตลาดข้าวถุงจึงหอมหวนชวนให้ใครต่อใครกระโดดเข้ามาเล่นกันอย่างคึกคัก

แต่ละปีคนไทยบริโภคข้าวร่วม 11 ล้านตัน จำนวนนี้แบ่งเป็นการขายผ่านช่องทางจำหน่ายสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด 8 แสนตัน อีก 10.2 ล้านตัน ขายผ่านช่องทางเทรดดิชันนัลเทรด หรือช่องทางดั้งเดิม เช่น ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว โชวห่วย ที่มีอยู่นับหมื่นรายทั่วประเทศ

ในแต่ละช่องทางล้วนมีแบรนด์ข้าวถุงเข้าไปร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 20-30 แบรนด์ ทำให้เกมการแข่งขันจึงมุ่งไปที่การใช้ราคาห้ำหั่นกัน ยกเว้นตลาดระดับพรีเมียมที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์อยู่ แต่ในตลาดระดับกลางลงมานั้นกลายเป็น 'น่านน้ำสีเลือด' ไปเรียบร้อยแล้ว

ทว่า ท่ามกลางสมรภูมิอันแดงฉานนั้นกลับมีช่องว่างสีฟ้าอันสดใสให้กับแบรนด์บางแบรนด์ที่มองเห็นเข้าไปสร้างตลาด เข้าไปปักธงผู้นำ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการแข่งขันเรื่องราคาอีกต่อไป

ข้าวพนมรุ้ง คือแบรนด์ที่กำลังจะกล่าวถึง

เรื่องของเรื่องก็คือ ด้วยความที่ตลาดแบบเทรดดิชันนัลเทรดนั้นใหญ่โต จึงมีเซกเมนต์แตกแยกย่อยออกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือช่องทางที่เรียกว่าฟู้ดเซอร์วิส ประกอบด้วย โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร และยังหมายรวมไปถึงบรรดาร้านข้าวแกงข้างทาง ร้านอาหารรถเข็นด้วย

จริงแล้วตลาดฟู้ดเซอร์วิส ไม่ใช่เป็นตลาดใหม่ เพียงแต่เป็นตลาดที่ไม่มีใครเข้าไปลุยอย่างจริงจังเท่านั้น ทำให้ไม่มีแบรนด์ใดครองส่วนแบ่งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เป็นช่องว่างของข้าวพนมรุ้ง แบรนด์ใหม่ที่จะขอแจ้งเกิดในตลาดข้าวด้วยคน

'วันที่เราก้าวเดินเข้าไปตรงนี้เรามองว่าตลาดข้าวถุงผู้เล่นเยอะ ขณะที่ตลาดเล็ก เรียกว่าเป็นเรดโอเชี่ยน การแข่งขันตาต่อตา ฟันต่อฟัน กดราคากัน ตัดราคากันในห้าง และในห้างบ้านเราก็มีอยู่ 4 ห้างหลักที่ขายข้าวมากจริงๆ คือ แม็คโคร เทสโก้ บิ๊กซี คาร์ฟูร์ ที่เหลืออย่าง กูร์เม่ต์ มาร์เก็ต หรือท็อปส์ แม้จะเป็นโมเดิร์นเทรด แต่คอนทริบิวชั่นอยู่ใน 4 ห้างนั้นเป็นหลัก ปรากฏว่าทุกคนยำอยู่ในนั้น ผมเลยมองว่าตลาดเทรดดิชันนัลเทรดน่าทำกว่า เนื่องจากใหญ่กว่า และมันซอยจนแต่ละแบรนด์ไม่ได้เป็นลีดเดอร์อย่างชัดเจน ทุกคนได้แค่ส่วนเล็กๆ ของตลาดเต็มไปหมด โดยเฉพาะที่เราเจาะลึกลงไปอย่างฟู้ดเซอร์วิส โรงแรม ร้านอาหาร ยิ่งไม่มีรายใหญ่อยู่ในตลาดเลย ทุกคนเป็นแบรนด์ของยี่ปั๊ว ซาปั๊ว เป็นแบรนด์ของโรงสีต่างจังหวัดย่านนั้น ย่านนี้ สมมติว่าย่านสีลมซื้อแบรนด์นี้ จตุจักรก็อีกแบรนด์นึง แล้วในจตุจักรก็จะซอยย่อยลงไปอีก ไม่มีใครเป็นผู้นำที่ชัดเจน ไม่เหมือนในห้างที่คนจะรู้จักมาบุญครอง หรือหงษ์ทอง' เป็นคำกล่าวของ วิพุธ หวั่งหลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารงานขายและการตลาด บริษัท ชัยทิพย์ จำกัด

เมื่อตลาดฟู้ดเซอร์วิส ยังเป็นน่านน้ำสีฟ้าที่น่าเข้าไปว่ายเล่น ทำให้ข้าวพนมรุ้งรีบกระโจนเข้าไป เพราะเมื่อเทียบกับศักยภาพของบริษัทกับแบรนด์อื่นๆ ที่อยู่ในตลาด พนมรุ้งอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็น กำลังเงิน เทคโนโลยีการผลิต โนว์ฮาวการตลาด รวมถึงกำลังการผลิตที่บริษัทเป็นบริษัทผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งขยายกำลังการผลิตจาก 2 หมื่นตันต่อปี มาเป็น 2 แสนตันต่อปี ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งหลายขุม

เพียงแค่กระโดดลงตลาดเท่านั้น พนมรุ้งก็แทบจะกลายเป็นเจ้าตลาดทันที

ก่อนเข้าตลาด ทีมผู้บริหารของข้าวพนมรุ้งได้ทำวิจัยเพื่อสำรวจความต้องการของผู้บริโภคในตลาดนี้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการที่สุด คำตอบที่ได้อย่างแรกคือ คุณภาพคงที่ สม่ำเสมอ รองลงมาคือ ข้าวต้องนิ่ม ขาว ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน ซึ่งความต้องการรองๆ ลงมานี้ ข้าวทุกแบรนด์ ทุกเจ้าต่างตอบสนองเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ขณะที่เรื่องของการทำคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรให้คงที่ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

เมื่อเป็นเช่นนี้บริษัทจึงทำวิจัยว่าจะใช้ส่วนผสมอย่างไรถึงจะทำให้ข้าวที่ออกมามีความคงที่ นอกจากคิดสูตรส่วนผสมของข้าวแล้ว ยังได้ซื้อเครื่องเท็กซ์เจอร์ อะนาไลเซอร์ เพื่อใช้ตรวจสอบความนุ่ม และวัดความนุ่มของข้าวออกมาเป็นตัวเลข โดยจะมีการคำนวณสูตรของข้าวทุกครั้งที่มีการผลิตเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างข้าวเก่ากับข้าวใหม่ให้มีความนุ่มคงที่ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าเดียวที่ผลิตข้าวขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแบบนี้แบบเทเลอร์เมด

เหตุผลที่ความนุ่มคงที่ของข้าวเป็นความต้องการหลักในตลาดฟู้ดเซอร์วิสเป็นเพราะพฤติกรรมการหุงข้าวของโรงแรม ร้านอาหาร หรือภัตตาคารใหญ่มักจะทำคราวละมากๆ บางแห่งหุงครั้งละ 10-20 หม้อ ถ้าคุณภาพไม่เท่ากัน ไม่คงที่ อาจทำให้ข้าวหม้อนี้แฉะ หม้อนี้แข็ง ก็อาจต้องเทข้าวทิ้งทุกหม้อ ต่างจากพฤติกรรมการหุงของแม่บ้านที่จะปรับไปตามสภาพ เช่นถ้าหม้อแรกแฉะ หุงหม้อต่อไปจะใช้น้ำน้อยลง

หลังจากปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามที่กลุ่มเป้าหมายต้องการแล้ว กลยุทธ์ต่อมาก็คือการทำโฆษณาเพื่อสร้างแบรนด์อะแวร์เนส โดยพุ่งเป้าสร้างการรับรู้ไปยังคนในวงการผ่านการจัดกิจกรรม เช่น เนชั่นแนล เรสทัวรองต์ แอนด์ บาร์, อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ด แอนด์ โฮเต็ล ไทยแลนด์ หรือมุ่งเน้นโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น ไทยแลนด์ เรสทัวรองต์ นิวส์ และวารสารสมาคมพ่อครัวไทย เป็นต้น เนื่องจากพฤติกรรมของเชฟ ซึ่งปราการด่านสุดท้ายที่ตัดสินใจเลือกซื้อข้าวจะดูโทรทัศน์ค่อนข้างน้อย ด้วยเวลาการทำงานจะเริ่มตั้งแต่ 05.00 น. หรือ 06.00 น. เพื่อเตรียมอาหาร จากนั้นเวลา 12.00 น. ต้องเตรียมอาหารเที่ยงต่อ พอถึง 14.00 น. เป็นเวลาเข้านอน

ด้วยความที่ตลาดฟู้ดเซอร์วิส หรือตลาด HORECA (Hotel, Restaurant, Catering) เป็นตลาดระดับพรีเมียมที่ไม่ค่อยกังวลเรื่องราคาสินค้ามากนัก ทำให้ข้าวพนมรุ้งแม้จะมีราคาจำหน่ายค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์อื่น เช่น ข้าวหอมมะลิ 50 กิโล ราคา 1,800 บาท ขณะที่แบรนด์อื่นอยู่ที่ 1,600-1,700 บาท แต่งานนี้ไม่ได้ทำให้ข้าวพนมรุ้งต้องลดราคาลงมาต่อสู้แต่อย่างใด เพราะสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ถือว่าเป็นคอนซูเมอร์ อินไซต์ ในเซกเมนต์นี้คือ เรื่องของการบริการที่ต้องเข้าข่ายใจถึง พึ่งได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องทำให้ข้าวพนมรุ้งต้องมีทีมขนส่งกว่า 20 คน ทีมเซลเซอร์วิส อีก 10 คน พร้อมตั้งศูนย์กระจายสินค้าขึ้นมาที่กรุงเทพฯ เพื่อรับสินค้าจากโรงงานที่สระบุรีมากระจายต่อ

'ตอนทำตลาดแรกๆ นอกจากสินค้าของเราจะคงที่แล้ว สิ่งสำคัญอันดับสองคือเซอร์วิสต้องถึง ไม่ใช่เอาของไปวาง แต่ต้องบริหารสต๊อกให้เขาด้วย อีกทั้งเราต้องมีบริการหลังการขาย สั่ง 5 ถุง 10 ถุงก็ต้องส่ง แล้วบางทีจะเอาเดี๋ยวนี้ สั่งเช้าจะเอาเย็น ถ้าไม่ส่ง บริการไม่ได้ คุณก็ไม่สามารถทำตลาดนี้ได้เหมือนกัน เพราะของเขาต้องขาย สมมติว่าของหมดเดี๋ยวนั้นเลย เย็นนี้ลูกค้าเข้า ดังนั้นเราต้องส่ง ความจุกจิกของการบริการในตลาดนี้มันมีสูงมาก' วิพุธ อธิบายให้ฟัง ว่าเหตุใดจึงไม่มีบรรดาแบรนด์ใหญ่ขยับเข้ามาขอเอี่ยวในตลาดนี้บ้าง

ภายหลังจากการสอดส่ายหาตลาดที่ง่ายต่อการแข่งขัน และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่นได้ ทำให้ในเวลาเพียงปีแรกหลังจากเข้าตลาด ข้าวพนมรุ้งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เพียงแค่ 3-4 ปี มีลูกค้าเพิ่มเป็น 2 พันราย ภายหลังจากประสบความสำเร็จจนกลายเป็นแบรนด์ลีดเดอร์ในตลาดฟู้ดเซอร์วิส ชนิดไร้คู่ต่อกรแล้ว ข้าวพนมรุ้งกำลังขยายเข้ามาเล่นในตลาดแมส เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับแบรนด์อีกครั้ง และการรุกตลาดคราวนี้ได้อาศัยต้นทุนจากการประสบความสำเร็จในตลาดฟู้ดเซอร์วิส มาให้การรับรอง หรือ endorse ว่าข้าวพนมรุ้งเป็นแบรนด์ที่เชฟจากโรงแรม ร้านอาหารเลือกใช้

เชื่อว่าจาก emotional benefit ของข้าวพนมรุ้งที่ส่งออกไปคราวนี้น่าจะโดนใจบรรดากลุ่มแม่บ้าน และสร้างยอดขายได้ไม่ยากเย็นนัก

ยาสีฟัน 6,000 ลบ.
แบ่งเค้กปักธงเบอร์ 1


ที่ผ่านมา ผู้บริโภคและนักการตลาดทั้งหลายมักจะคุ้นชินกับเกมรบออรัลแคร์ ซึ่งมี 'คอลเกต' เป็นผู้นำตลาด ทั้งนี้ หากแยกย่อยตามประเภทสินค้า ประกอบด้วย ยาสีฟัน แปรงสีฟัน และน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งถือเป็น 3 หมวดหลักในตลาดออรัลแคร์ จะเห็นว่า วันนี้ 'ตลาดน้ำยาบ้วนปาก' เป็นสินค้าเพียงกลุ่มเดียวที่ คอลเกต ยังไม่สามารถปักธงแชมป์ ทว่า จากการเปิดเกมรุกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาอย่างเข้มข้นและหนักหน่วง จนสามารถเขี่ย 'มายบาซิน' กับ 'ซิสเท็มมา' ขึ้นมานั่งเก้าอี้รองแชมป์ด้วยแชร์ราว 16% จากตลาดน้ำยาบ้วนปากมูลค่า 1,400 ล้านบาท นับว่าเป็นแรงกดดันที่สร้างความเครียดให้กับ 'ลิสเตอรีน' และผู้เล่นทุกรายในสมรภูมิออรัลแคร์ไม่น้อย

คงไม่ผิดที่บอกว่าการพยายามจะปักธงให้ครบทั้ง 3 หมวดหลักออรัลแคร์ของคอลเกตได้สร้างแรงกดดันให้กับผู้เล่นทุกราย เพราะนั่นหมายถึง คอลเกตจะสามารถประกาศความเป็นผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพในช่องปากได้เต็มปากเต็มคำ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ในชั่วโมงนี้ น้ำยาบ้วนปากกลายเป็น 1 ในเกมรบที่กำลังร้อนทะลักทั่วปาก ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในมุมยาสีฟัน และแปรงสีฟัน ใช่ว่าจะปล่อยให้แชมป์อย่างคอลเกตโกยยอดขายไปง่ายๆ เพียงเจ้าเดียว

หากสังเกตจะเห็นว่า บรรดาคู่แข่งทั้งหลายต่างหันมาจำกัดวงพื้นที่ยืนของตนเองให้ชัดเจน พร้อมกับปักธงเป็นเบอร์ 1 หรือเจ้าของดินแดนนั้นด้วย และไม่เพียงแต่จะสื่อถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณสมบัติต่างๆ เท่านั้น แต่กลวิธีนี้อาจช่วยป้องกันการรุกของคอลเกตได้ไม่น้อย เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคที่เรียกว่ามีความฉาดและรู้จักเลือกสินค้ามากขึ้น จนผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาโปรดักส์ของตนเองให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบถ้วนมากที่สุด ส่งผลให้สินค้าหลายประเภทจึงมีการแยกย่อยออกเป็นเซกเมนต์ และบางครั้งก็ละเอียดไปสู่ระดับแฟลกเมนต์ด้วย

ทั้งนี้ หากพิจารณากันที่ตลาดออรัลแคร์ 'ยาสีฟัน' ถือเป็นสมรภูมิที่มีภาพการแข่งขันในลักษณะการสร้างภาพผู้นำในพื้นที่ที่เป็นเซกเมนต์ของตนเองมากและชัดเจนสุด จึงไม่แปลกที่ตอนนี้ตลาดยาสีฟัน 6,000 ล้านบาท จึงมีการแยกย่อยตามคุณสมบัติออกเป็น 8 เซกเมนต์ ประกอบด้วย กลุ่มสมุนไพร 27.5% กลุ่มเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น 26% กลุ่มครอบครัว 19% กลุ่มมัลติเบเนฟิต 7.5% กลุ่มลดอาการเสียวฟัน 7.5% กลุ่มไวท์เทนนิ่ง 5% กลุ่มเด็ก 3% และอื่นๆ 3.5%

'ตอนนี้ตลาดยาสีฟันมีการแยกย่อยมากถึง 8 เซกเมนต์ จากเดิมที่มีเพียง 5 เซกเมนต์เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์แบบตรงจุดมากขึ้น ทำให้เจ้าของสินค้าต้องแตกไลน์และลอนช์สินค้าที่มีคุณสมบัติต่างๆ มากขึ้นด้วย' ทวีศักดิ์ เมฆสว่าง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดแบรนด์ดอกบัวคู่ อธิบายกับผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดยาสีฟันจะมีการซอยย่อยมากถึง 8 เซกเมนต์ แต่จะเห็นว่ากลุ่มยาสีฟันที่ยังเป็นเซกเมนต์หลักและมีสัดส่วนเป็นตัวเลข 2 หลัก มีเพียง 3 เซกเมนต์ คือ กลุ่มสมุนไพร กลุ่มเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น และกลุ่มครอบครัว ดังนั้นจึงเป็นเซกเมนต์ที่มีการแข่งขันรุนแรงสุดเมื่อเทียบกับเซกเมนต์อื่น เพราะแม้แต่เซกเมนต์เล็กๆ คอลเกตก็ยังให้ความสนใจไม่น้อย เช่น การส่งสูตร 'เซนซิทีฟ โปรรีลีฟ' เข้าไปชนคู่แข่งตัวหลัก เช่น 'เซ็นโซดายส์' และ 'ซอลส์' ในเซกเมนต์ลดอาการเสียวฟัน จึงไม่ต้องสงสัยว่าการแข่งขันใน 3 เซกเมนต์หลัก คอลเกตจะเปิดเกมรุกดุเดือดแค่ไหน

สำหรับยาสีฟันทั้ง 3 เซกเมนต์นี้ จะเห็นว่า ล้วนมีผู้จับจองเป็นเจ้าของดินแดนและประกาศเป็นเบอร์ 1 ในพื้นที่อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่ เซกเมนต์กลุ่มสมุนไพร ที่มี 'ดอกบัวคู่' ตอกเสาเข็มตำแหน่งผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งกว่า 50% เซกเมนต์ลมหายใจหอมสดชื่น ก็มี 'ดาร์ลี่' ปักหลักนั่งเก้าอี้แชมป์อย่างเหนียวแน่นด้วยตัวเลขกว่า 50% ขณะที่ 'คอลเกต'คือผู้นำในยาสีฟันกลุ่มครอบครัวด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 50% เช่นกัน

การขับเคี่ยวระหว่าง 3 เซกเมนต์นี้ ความต้องการของคอลเกตจึงไม่ได้หยุดที่การเป็นเพียงผู้นำภาพรวมตลาดยาสีฟัน แต่ยังหมายมั่นจะเป็นเบอร์ 1 ในทุกเซกเมนต์ด้วย เห็นได้จากการที่คอลเกตส่งสูตร 'คอลเกต เกลือ สมุนไพร' ที่ชูประสิทธิภาพครบสูตรการปกป้องจากธรรมชาติในหลอดเดียว โดยชูส่วนผสมจากธรรมชาติ 3 ชนิดเป็นจุดขายมาชนกับเจ้าถิ่นอย่างดอกบัวคู่ และแน่นอนว่าด้วยเม็ดเงินมหาศาลกอปรกับการรุกเข้มในทุกกลยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านสื่อทุกช่องทาง การจัดกิจกรรม การจัดโปรโมชั่น ณ จุดขาย ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนให้กับบัลลังก์ดอกบัวคู่ไม่น้อย โดยดูจากส่วนแบ่งตลาดของดอกบัวคู่ที่เคยมีกว่า 70% แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50% เท่านั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นแรงกระแทกจากผู้เล่นรายอื่น รวมไปถึงการตลาดที่มีการแยกย่อยเซกเมนต์มากขึ้นก็ตาม แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนแบ่งตลาดที่หดหายไปก็มาจากการเข้ามาของคอลเกตด้วย

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ไปมากกว่านี้ และตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในเซกเมนต์สมุนไพรอย่างแข็งแกร่ง ปีนี้ดอกบัวคู่จึงเปิดเกมบุกต่อจากปีก่อน ในรูปแบบที่เรียกว่า Aggressive กว่าทุกครั้ง ด้วยการตีโต้คู่แข่งแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน โดยเครื่องมือที่ถือได้ว่าเป็นระเบิดลูกย่อมที่ดอกบัวคู่ปาใส่คู่แข่งครั้งนี้ คือ การนำผลวิจัยจากบริษัท IBS มาช่วยใช้เอนดอร์สแบรนด์ว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพร 100% ที่ให้คุณสมบัติการต่อต้านแบคทีเรียในช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่เป็นไฮไลต์สำคัญ น่าจะอยู่ตรงที่ดอกบัวคู่ยังนำเจ้าผลวิจัยดังกล่าวออกมาใช้บลัฟฟ์คู่แข่ง ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง 'คอลเกต' ผ่าน message 'ใช้สารเคมีทำไม สมุนไพรก็ทำได้' โดยมีพรีเซนเตอร์ ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับหน้าที่เป็นผู้ส่งสารผ่านหนังโฆษณาชุด 'บอกต่อ ภาค 2 พร้อมจัดกิจกรรมโรดโชว์ 'Anti Bac Herbs Let'go' สร้างการรับรู้และแจกสินค้าตัวอย่างมากกว่า 5 แสนชิ้นทั่วประเทศ

ขณะที่เจ้าถิ่นอย่าง 'ดาร์ลี่' ในฝั่งยาสีฟันเพื่อลมหายใจหอมสดชื่น ก็เปิดเกมรุกขวางทางคอลเกตที่ส่งสูตร 'แอดวานส์ เฟรช' ซึ่งเป็นยาสีฟันในตระกูลคอลเกต โททอล ที่ชูจุดขายช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียยาวนาน 12 ชม. พร้อมให้ลมหายใจหอมสดชื่น เข้ามาบุกเซกเมนต์นี้โดยเฉพาะ แม้ที่ผ่านมายาสีฟันของคอลเกตในแต่ละสูตรจะมีคุณสมบัติเรื่องลมหายใจหอมสดชื่นก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดขายรองเท่านั้น ดังนั้นในปีนี้ ดาร์ลี่จึงเปิดเกมโต้กลับด้วยการทุ่มงบ 270 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดใน 2 ปี เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้เห็นถึงความทันสมัยของแบรนด์ รวมไปถึงการตอกย้ำเรื่อง '2 พลังมินต์' คือ เปปเปอร์มินต์ และสเปียร์มินต์ ส่วนผสมหลักของดาร์ลี่ สูตรดับเบิ้ล แอ็คชั่น ที่มีสโลแกน 'ลมหายใจหอมสดชื่นยาวนาน' ซึ่งเป็นสูตรที่ทำรายได้หลัก 60% จากดาร์ลี่ทั้งหมด 5 สูตร เจาะลูกค้าผู้หญิงอายุ 25-45 ปี ซึ่งการทุ่มงบมหาศาลครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้บริโภคที่รับรู้ว่าแบรนด์ดาร์ลี่คือ ยาสีฟันที่ให้ความเย็นและลมหายใจหอมสดชื่น มีเพิ่มขึ้น 20% นับจากการลอนช์หนังโฆษณาชุดที่ 2 ส่วนยอดขายของสูตรดับเลิ้ล แอ็คชั่นก็เพิ่มขึ้นอีก 10% ด้วย

นอกจากนี้ก็ยังสร้างความใกล้ชิดและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้วยการผุดแคมเปญ 'โชค 2 ชั้น ดาร์ลี่ 2 พลังมินต์' แจกรางวัลเป็นใบมินต์ทองคำและบัตรกำนัลจากบิ๊กซีรวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท แน่นอนว่าเป้าหมายของแคมเปญนี้ยังต้องการเชื่อมไปยังจุดขาย 2 พลังมินต์จากสูตรดับเบิ้ล แอ็คชั่นด้วย ซึ่งดาร์ลี่มั่นใจว่าการรุกครั้งนี้จะช่วยขยับส่วนแบ่งเพิ่มอีก 4-5% ในเซกเมนต์เพื่อลมหายใจหอมสดชื่นได้ภายในปีหน้า ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับอัตราการบริโภคของตลาดยาสีฟันที่เต็ม 100%

และนี่คือความเคลื่อนไหวในตลาดยาสีฟัน ที่ผู้เล่นต่างหาพื้นที่และชูภาพความเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเซกเมนต์ เพราะแม้จะไม่สามารถยืนชนกับผู้นำคอลเกต หรือชิงตำแหน่งแชมป์ตลาดยาสีฟันมาครองได้ก็ตาม ทว่า ผู้เล่นเหล่านั้นก็ยินดีที่จะสร้างโพซิชันนิ่งของแบรนด์ให้ชัดเจนและแข็งแกร่ง เพื่อประกาศเป็นเบอร์ 1 ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งย่อมฟังรื่นหูกว่าการเป็นเบอร์ 2 หรือที่ 3 ในตลาดยาสีฟันเท่านั้น

เป็นผู้นำตลาดบะหมี่หมื่นล้านไม่ได้
ไวไว ขอยึดตลาดเส้นหมี่พันล้านแทน


ชื่อของไวไวในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแม้จะเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า แบรนด์นี้ไม่ใช่ผู้นำของตลาด

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ที่มีมูลค่าราว 11,000 ล้านบาท เกิดจาก 3 แบรนด์ใหญ่ ที่นำเทคโนโลยีการผลิตมาจาก 3 ประเทศ ไวไว เป็นบริษัทไทยแท้, ยำยำ จากประเทศญี่ปุ่น และมาม่า ที่ใช้เทคโนโลยีไต้หวัน ทั้งหมดเปิดตัวในปีเดียวกัน คือ พ.ศ.2515 แต่แบรนด์ที่ดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุด กลายเป็นมาม่า ของค่ายไทยเพรซิเดนท์ฟู้ดส์ ที่นอกจากมีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด กว่า 52% แล้ว ชื่อมาม่า ถูกเรียกขานกลายเป็น Generic Name ที่ใช้แทนการพูดถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนั้น ยอดขายของมาม่ายังถูกใช้เป็นมาตราวัดอ้างอิงดัชนีของเงินในกระเป๋าผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

ความสำเร็จของมาม่า เกิดจากการมีบริษัทยักษ์ใหญ่คอนซูเมอร์โปรดักส์ สหพัฒนพิบูล ยืนแบ็กอัพอยู่ งบประมาณในการส่งเสริมการตลาดถูกใช้สร้างแบรนด์และกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง งบการตลาดถูกใช้ปีละ 400-500 ล้านบาท กระจายไปทั้งการใช้สื่ออะโบฟเดอะไลน์ หนังโฆษณา และบีโลว์เดอะไลน์ การจัดกิจกรรมโปรโมชั่นสร้างยอดขาย โดยแคมเปญที่โดดเด่นจนผู้คนจดจำได้คือ การแจกทอง ที่มาม่าจัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงกิจกรรมเพื่อสังคม การประกวดดนตรี นอกจากนั้น มาม่ายังถือเป็นผู้นำในการนำรสชาติใหม่ๆ มานำเสนอ สร้างภาพพจน์ความเป็นผู้นำในตลาดที่ทิ้งห่างจากผู้ตามพอสมควร

ขณะที่ไวไว แม้ย้อนเวลากลับไปในปี 2515 จะเป็นแบรนด์ที่วางตลาดก่อนมาม่า แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำได้ก็คือ การเป็นแบรนด์ไทยที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างมั่นคงมาเกือบ 4 ทศวรรษ ด้วยส่วนแบ่งตลาดราว 30% เป็นอันดับ 2 รองจากมาม่า

ปัจจัยหลักที่ทำให้ไวไวไม่สามารถขยับส่วนแบ่งตลาดเข้าเบียดใกล้มาม่าได้ ก็คงเป็นเรื่องของเม็ดเงินที่นำมาส่งเสริมการตลาด ขณะที่มาม่า มีงบก้อนโตในหลัก 400-500 ล้านบาท แต่ไวไว ใช้หนักที่สุดก็อยู่เพียงแค่ 100-200 ล้านบาท แม้ในช่วงหลายปีมานี้ ดูเหมือนว่าไวไวจะมุ่งมั่นในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากเป็นพิเศษ ทั้งการเพิ่มรสชาติแปลกใหม่ มีหนังโฆษณาออกมาอย่างต่อเนื่อง ใช้พรีเซนเตอร์ชื่อดังในหนังโฆษณา รวมไปถึงการจัดกิจกรรมที่ไม่น้อยหน้ามาม่า สิ่งที่ได้มาคือการขยับส่วนแบ่งจากหลัก 20 ขึ้นมาเป็น 30% ส่วนการจะหวังให้ก้าวต่อไปแซงหน้ามาม่าให้ได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องที่คิดกันในปีนี้ ปีหน้า หรืออาจจะตลอดไปก็ได้

แต่แม้จะไม่สามารถก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไวไวจะเป็นผู้ตามเสมอไป เพราะในตลาดเส้นก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูป ยังมีอีกหนึ่งตลาดที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีมูลค่าการบริโภคอยู่ในระดับ 1,700 ล้านบาทต่อปี และมีไวไวเป็นผู้นำในตลาดด้วยส่วนแบ่งที่แทบจะผูกขาดถึงกว่า 90% นั่นคือ ตลาดเส้นหมี่อบแห้ง

เส้นหมี่ขาวอบแห้งในห่อสี่เหลี่ยมทรงยาว คุ้นเคยอยู่ในครัวไทยมายาวนานเทียบเท่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่การแข่งขันกลับไม่มีคู่แข่งบิ๊กเนมมากเท่า รวมไปถึงน้อยกว่าการแข่งขันในตลาดวุ้นเส้นซึ่งเป็นสินค้าที่วางอยู่ในชั้นวางติดกันในซูเปอร์มาร์เกต ไม่มีแบรนด์มาม่า ยำยำ ไม่มียักษ์ใหญ่อย่างต้นสน มีเพียงแบรนด์เกษตรที่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำตลาดนี้มากนัก วางสินค้าอยู่บนชั้นวางควบคู่ไปกับไวไว และแบรนด์เล็ก แบรนด์น้อย อีกส่วนที่ก็ล้วนไม่เคยใช้งบในการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้านี้โดยตรง แต่ด้วยอานิสงส์จากการสร้างแบรนด์ของไวไวในฟากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จึงทำให้ผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคเส้นหมี่อบแห้ง เกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ไวไวมากกว่าแบรนด์อื่นๆ จนทำให้วันนี้ไวไวแทบจะครองตลาดเส้นหมี่อบแห้งแบบผูกขาดรายเดียวมาเป็นเวลานาน

จนมาถึงในปีนี้ ไวไวที่เล่นบทผู้ตามมาโดยตลอด อยากเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้นำบ้าง ใช้วาระครบรอบ 39 ปีของการก่อตั้งบริษัทโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย ทุ่มงบประมาณก้อนแรกในรอบเกือบ 40 ปี ถึง 30 ล้านบาท ให้กับเส้นหมี่อบแห้งไวไว ในการทำแคมเปญส่งเสริมการตลาดอย่างครบเครื่องทั้งการใช้สื่อหลัก สื่อรอง จัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย รวมไปถึงการปรับแพกเกจจิ้ง เพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า

เบญญาภา ปริญณรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเส้นหมี่อบแห้งไวไว กล่าวว่า ธีมหลักของการสื่อสารแบรนด์เส้นหมี่อบแห้งไวไว เป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปี ใช้คอนเซ็ปต์ว่า 'หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เส้นหมี่ ไวไว' สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในตลาดเส้นหมี่อบแห้ง ที่ไวไวสามารถครองความเป็นเจ้าตลาดมานาน มีสัดส่วนมากกว่า 90% ซึ่งหัวใจสำคัญของความไว้ใจ เกิดจากความจริงใจจากผู้บริโภค ที่เกิดขึ้นมาตลอด 39 ปี ในครอบครัวไทย ทุกบ้าน ทุกร้านอาหาร ทุกคนมีความไว้วางใจเลือกเส้นหมี่อบแห้งตราไวไวมาทำอาหารให้คนที่รัก หรือเลือกคุณภาพที่ดีให้กับลูกค้าเสมอ

อาวุธสำคัญของแคมเปญนี้ คือหนังโฆษณาเรื่องแรกของเส้นหมี่อบแห้งตราไวไว เรื่อง 'หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ' เนื้อหานำเสนอความเป็นหนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เล่าเรื่องผ่านเพลงโฆษณาที่สนุกสนาน กินใจ กล่าวถึงชีวิตครอบครัวคนไทยในทุกๆ รุ่น เห็นถึงความน่ารัก ความไว้ใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นคุณค่าทางใจ เป็นคุณค่าทางความอร่อย เป็นคุณภาพที่ดีของเส้นที่เหนียวนุ่มไม่ขาดตอน คนรุ่นก่อนๆ เป็นยอดแม่ครัวไทย เช่น รุ่นคุณย่า ได้ถ่ายทอดฝีมือและการเลือกใช้เส้นหมี่ที่ดีทำอาหารรสเลิศ จนส่งต่อมาสู่รุ่นคุณแม่ และสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน สู่แม่บ้านสมัยใหม่ที่เพิ่งหัดทำอาหาร จนปัจจุบันกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่สานสายสัมพันธ์ของครอบครัวไทยไว้ด้วยกันอย่างแนบแน่น ช่วยสร้างความใกล้ชิดกันตั้งแต่การช่วยกันทำอาหาร สร้างความสุขในเวลาอร่อยกับอาหารนานาชนิดที่ทำด้วย เส้นหมี่อบแห้งตราไวไว จนคนทุกกลุ่ม รวมทั้งร้านก๋วยเตี๋ยวสุดอร่อยทั่วไทยยังไว้ใจ ทุกคนต่างยกนิ้วให้กับ หนึ่งเดียวที่ไว้ใจ เส้นหมี่ไวไว โดยความพิเศษของหนังโฆษณาเรื่องนี้ ได้ สุรักษ์ สุขเสวี นักแต่งเพลงชื่อดังที่เคยมีผลงานให้กับศิลปินจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มาเป็นผู้ประพันธ์เพลงโฆษณา และขับร้องโดยนักร้องขวัญใจวัยรุ่น ปราโมทย์ วิเลปะนะ

เบญญาภา กล่าวว่า กลยุทธ์ทางการตลาดของเส้นหมี่อบแห้งไวไว ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้ และจดจำในตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า และปรับแพกเกจจิ้งให้ดูสวยงามและทันสมัยมากขึ้น มีการจัดโปรโมชั่นสำหรับผู้บริโภค อาทิ กิจกรรมสำหรับลูกค้าที่ใช้เส้นหมี่ตราไวไว แจกโชค 'มีไวไวติดครัว เหมือนมีครัวใหม่ติดบ้าน' แต่งครัวพร้อมอุปกรณ์ให้ฟรี มีการใช้สื่อแมสมีเดีย ประกอบด้วย TVC ในฟรีทีวี ทั้งช่อง 3, 5, 7 และโมเดิร์นไนน์ทีวี, สื่อวิทยุคลื่น 94.5 ลูกทุ่งอินเตอร์ รวมถึงการเข้าเป็น Sponsorship ในรายการโทรทัศน์ หมึกแดงโชว์, ตี๋อ้วนชวนหิว, Living Mantra, ครัวอินดี้, ครัวคุณหรีด ขณะที่ในส่วนภูมิภาค สื่อสารผ่านช่องทีวีดาวเทียม ไทยไชยโย, มงคลแชนแนล, Live Shock, สื่อวิทยุ 20 คลื่นในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน สื่อ POP ครบทั้ง Poster, Banner, Sticker และ Shelf talker' เบญญาภา กล่าว

การขยับตัวของไวไวในครั้งนี้จึงกลายเป็นการลงทุนสร้างแบรนด์ สนับสนุนการตลาดให้กับสินค้าเส้นหมี่อบแห้งเป็นครั้งแรกของตลาด ทั้งที่ส่วนแบ่ง 90% ได้มาโดยแทบไม่ต้องลงทุนสร้างแบรนด์เท่าไหร่ เมื่อเทลงไปถึง 30 ล้านบาท ก็ไม่แน่ว่า จบปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดของไวไว อาจจะไปถึง 99.99% เหลือ 0.01% ให้แบรนด์อื่นๆ ไปแบ่งกัน